วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552
พิธีสารเกียวโต
พิธีสารเกียวโต
มีจุดเริ่มต้นมาจากการลงนามใน อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ของประเทศต่างๆ ในปี พ.ศ. 2535 เพื่อรักษาระดับของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย อาศัยหลักการ “ความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างกัน” โดยประเทศพัฒนาแล้วต้องทำการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก่อน แต่เนื่องจากไม่มีเป้าหมายการลดที่ชัดเจน และไม่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย จึงได้มีการจัดทำ พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ขึ้น
พิธีสารเกียวโต เปรียบเหมือนกฎหมายลูกของอนุสัญญาฯ ที่มีหลักการเหมือนกัน เมื่อมีผลบังคับใช้ จะถือเป็นกฎหมายระหว่างประเทศเพียงฉบับเดียว ที่มีการกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนให้ประเทศพัฒนาแล้วลดการปล่อย CO2 ให้ได้ภายในปี พ.ศ.2551-2555 พิธีสารเกียวโตจะมีผลบังคับใช้ 90 วัน หลังจากที่มีประเทศร่วมให้สัตยาบันไม่น้อยกว่า 55 ประเทศ โดยในจำนวนนี้ จะต้องมีประเทศที่อยู่ในภาคผนวกที่ 1 ที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) รวมแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 55 ของการปล่อย CO จากประเทศในภาคผนวกที่ 1 ทั้งหมดที่ปล่อยในปี พ.ศ. 2533 ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันต่อพิธีเกียวโตแล้วในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2545
มีจุดเริ่มต้นมาจากการลงนามใน อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ของประเทศต่างๆ ในปี พ.ศ. 2535 เพื่อรักษาระดับของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย อาศัยหลักการ “ความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างกัน” โดยประเทศพัฒนาแล้วต้องทำการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก่อน แต่เนื่องจากไม่มีเป้าหมายการลดที่ชัดเจน และไม่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย จึงได้มีการจัดทำ พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ขึ้น
พิธีสารเกียวโต เปรียบเหมือนกฎหมายลูกของอนุสัญญาฯ ที่มีหลักการเหมือนกัน เมื่อมีผลบังคับใช้ จะถือเป็นกฎหมายระหว่างประเทศเพียงฉบับเดียว ที่มีการกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนให้ประเทศพัฒนาแล้วลดการปล่อย CO2 ให้ได้ภายในปี พ.ศ.2551-2555 พิธีสารเกียวโตจะมีผลบังคับใช้ 90 วัน หลังจากที่มีประเทศร่วมให้สัตยาบันไม่น้อยกว่า 55 ประเทศ โดยในจำนวนนี้ จะต้องมีประเทศที่อยู่ในภาคผนวกที่ 1 ที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) รวมแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 55 ของการปล่อย CO จากประเทศในภาคผนวกที่ 1 ทั้งหมดที่ปล่อยในปี พ.ศ. 2533 ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันต่อพิธีเกียวโตแล้วในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2545
ภาวะโลกร้อน
ภาวะโลกร้อน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นตัวการสำคัญกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกไปสู่ บรรยากาศ การเผาผลาญเชื้อเพลงฟอสซิลต่างๆ เช่น ถ่านหิน น้ำมันเชื้อเพลิง และการตัดไม้ทำลายป่าเหล่านี้ส่งผลให้ปริมาณ คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล อันส่งผลกระทบต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภัยธรรมชาติ ต่างๆเกิดบ่อยขึ้น ......และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ คือ...
1. จำนวนพายุ Hurricane Category 4 และ 5 เพิ่มขึ้นสองเท่า ในสามสิบปีที่ผ่านมา
2. เชื้อมาลาเรียได้แพร่กระจายไปในที่สูงขึ้น แม้แต่ใน Columbian, Andes ที่สูง 7000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล
3. น้ำแข็ง ใน ธารน้ำแข็ง เขตกรีนแลนด์ ละลายเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
4. สัตว์ต่างๆ อย่างน้อย 279 สปีชี่ส์กำลังตอบสนองต่อ ภาวะโลกร้อน โดยพยายามย้ายถิ่นที่อยู่หากเรายังเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น รับรองได้เลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้แน่
5. อัตรา ผู้เสียชีวิต จาก โลกร้อน จะพุ่งไปอยู่ที่ 300000 คนต่อปี ใน 25 ปีต่อจากนี้
6. ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 20 ฟุต
7. คลื่นความร้อน จะมาบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น
8. ภาวะฝนแล้ง และไฟป่าจะเกิดบ่อยขึ้น
9. มหาสมุทรอาร์กติกจะไม่เหลือน้ำแข็ง ภายในฤดูร้อน 2050
10.สิ่งมีชีวิตกว่าล้านสปีชี่ส์เสี่ยงที่จะสูญพันธุ์
วิธีช่วยลดปัญหาโลกร้อน
คู่มือช่วยลด ภาวะโลกร้อน Ten Things To Do จาก An Inconvenient Truth
1. เปลี่ยนหลอดไฟ การเปลี่ยนหลอดไฟจากหลอดไส้เป็นฟลูออเรสเซนต์หนึ่งดวง จะช่วยลด คาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี
2. ขับรถให้น้อยลงหากเป็นระยะทางใกล้ๆ สามารถเดินหรือขี่จักรยานแทนได้ การขับรถยนตร์เป็นระยะทาง 1ไมล์จะปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ 1 ปอนด์
3. รีไซเคิลให้มากขึ้นลดขยะของบ้านคุณให้ได้ครึ่งนึงจะช่วยลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ถึง 2400 ปอนด์ต่อปี
4. เช็คลมยางการขับรถโดยที่ยางมีลมน้อย อาจทำให้เปลืองน้ำมันขึ้นได้ถึง 3% จากปกติน้ำมันๆทุกๆแกลลอนที่ประหยัดได้ จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 20 ปอนด์
5. ใช้น้ำร้อนให้น้อยลงในการทำน้ำร้อน ใช้พลังงานในการต้มสูงมาก การปรับเครื่องทำน้ำอุ่น ให้มีอุณหภูมิและแรงน้ำให้น้อยลง จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ์ได้ 350 ปอนด์ต่อปี หรือการซักผ้าในน้ำเย็น จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ปีละ 500 ปอนด์
6. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีบรรจุภัณฑ์เยอะเพียงแค่ลดขยะของคุณเอง 10 % จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 1200 ปอนด์ต่อปี
7. ปรับอุณหภูมิห้องของคุณ(สำหรับเมืองนอก)ในฤดูหนาว ปรับอุณหภูมิของ heater ให้ต่ำลง 2 องศา และในฤดูร้อน ปรับให้สูงขึ้น 2 องศาจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 2000 ปอนด์ต่อปี
8. ปลูกต้นไม้การ ปลูกต้นไม้ หนึ่งต้น จะดูดซับคาร์บอนไดออก ไซด์ได้ 1 ตัน ตลอดอายุของมันุ
9. ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช่ปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ใช้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับพันปอนด์ต่อปีและอย่างสุดท้าย
10. บอกเพื่อนๆของคุณเกี่ยวกับวิธี
1. จำนวนพายุ Hurricane Category 4 และ 5 เพิ่มขึ้นสองเท่า ในสามสิบปีที่ผ่านมา
2. เชื้อมาลาเรียได้แพร่กระจายไปในที่สูงขึ้น แม้แต่ใน Columbian, Andes ที่สูง 7000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล
3. น้ำแข็ง ใน ธารน้ำแข็ง เขตกรีนแลนด์ ละลายเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
4. สัตว์ต่างๆ อย่างน้อย 279 สปีชี่ส์กำลังตอบสนองต่อ ภาวะโลกร้อน โดยพยายามย้ายถิ่นที่อยู่หากเรายังเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น รับรองได้เลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้แน่
5. อัตรา ผู้เสียชีวิต จาก โลกร้อน จะพุ่งไปอยู่ที่ 300000 คนต่อปี ใน 25 ปีต่อจากนี้
6. ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 20 ฟุต
7. คลื่นความร้อน จะมาบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น
8. ภาวะฝนแล้ง และไฟป่าจะเกิดบ่อยขึ้น
9. มหาสมุทรอาร์กติกจะไม่เหลือน้ำแข็ง ภายในฤดูร้อน 2050
10.สิ่งมีชีวิตกว่าล้านสปีชี่ส์เสี่ยงที่จะสูญพันธุ์
วิธีช่วยลดปัญหาโลกร้อน
คู่มือช่วยลด ภาวะโลกร้อน Ten Things To Do จาก An Inconvenient Truth
1. เปลี่ยนหลอดไฟ การเปลี่ยนหลอดไฟจากหลอดไส้เป็นฟลูออเรสเซนต์หนึ่งดวง จะช่วยลด คาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี
2. ขับรถให้น้อยลงหากเป็นระยะทางใกล้ๆ สามารถเดินหรือขี่จักรยานแทนได้ การขับรถยนตร์เป็นระยะทาง 1ไมล์จะปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ 1 ปอนด์
3. รีไซเคิลให้มากขึ้นลดขยะของบ้านคุณให้ได้ครึ่งนึงจะช่วยลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ถึง 2400 ปอนด์ต่อปี
4. เช็คลมยางการขับรถโดยที่ยางมีลมน้อย อาจทำให้เปลืองน้ำมันขึ้นได้ถึง 3% จากปกติน้ำมันๆทุกๆแกลลอนที่ประหยัดได้ จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 20 ปอนด์
5. ใช้น้ำร้อนให้น้อยลงในการทำน้ำร้อน ใช้พลังงานในการต้มสูงมาก การปรับเครื่องทำน้ำอุ่น ให้มีอุณหภูมิและแรงน้ำให้น้อยลง จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ์ได้ 350 ปอนด์ต่อปี หรือการซักผ้าในน้ำเย็น จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ปีละ 500 ปอนด์
6. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีบรรจุภัณฑ์เยอะเพียงแค่ลดขยะของคุณเอง 10 % จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 1200 ปอนด์ต่อปี
7. ปรับอุณหภูมิห้องของคุณ(สำหรับเมืองนอก)ในฤดูหนาว ปรับอุณหภูมิของ heater ให้ต่ำลง 2 องศา และในฤดูร้อน ปรับให้สูงขึ้น 2 องศาจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 2000 ปอนด์ต่อปี
8. ปลูกต้นไม้การ ปลูกต้นไม้ หนึ่งต้น จะดูดซับคาร์บอนไดออก ไซด์ได้ 1 ตัน ตลอดอายุของมันุ
9. ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช่ปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ใช้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับพันปอนด์ต่อปีและอย่างสุดท้าย
10. บอกเพื่อนๆของคุณเกี่ยวกับวิธี
โรคเอดส์ (Aids)
โรคเอดส์ คืออะไร
เอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immuno Deficiency Syndrome) เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า HIV หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเชื้อเอดส์ ซึ่งจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค มีผลทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกทำลายทำให้ติดโรคชนิดอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ท้องร่วงเรื้อรัง เชื้อราในสมอง ติดเชื้อในกระแสโลหิตรุนแรง หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ อาการรุนแรง ฯลฯ และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต
เชื้อไวรัสเอดส์ หรือ HIV (Human Immunodeficiency Virus) สามารถแบ่งตัวในเซลล์ของคน เช่น เม็ดเลือดขาว เซลล์สมอง เมื่อติดเชื้อร่างกายจะสร้างภูมิต้านทาน (Antibody) ต่อต้านเชื้อไวรัส แต่ไม่สามารถกำจัดให้หมดไป เชื้อยังคงอยู่ในเม็ดเลือดและแพร่ต่อไปได้ และจะไปทำลายเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมการทำงานของระบบ ภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานลดลง
เชื้อไวรัสเอดส์สามารถอาศัยหรือทำให้เกิดโรคในคนเท่านั้น ไม่สามารถทำให้เกิดโรคในสัตว์อื่น เมื่อออกมานอกร่างกายคนแล้วจะไม่สามารถทนสภาพแวดล้อมภายนอกได้ อาจมีชีวิตได้นานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันเท่านั้นขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความร้อน ความเย็น สภาวะกรด ด่าง ความแห้ง ความชื้น เช่น เพียงถูกความร้อน 56 องศาเซลเซียส นาน 10-15 นาที เชื้อก็ตายหมด นอกจากนี้ยังทำลายได้ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ เช่น น้ำยาซักผ้าขาว (โซเดียมไฮโปคลอไรท์ 5%) เชื้อไวรัสเอดส์พบมากที่สุดในเลือด น้ำเหลือง เนื้อเยื่อต่างๆ รองลงมาคือน้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ส่วนน้ำลาย เสมหะ น้ำนม มีปริมาณไวรัสเอดส์น้อย สำหรับเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ แทบไม่พบเลย แม้ว่าเชื้อเอดส์จะปะปนในของเหลวที่ออกจากร่างกาย แต่พบว่าโอกาสแพร่โรคมีเฉพาะเลือด น้ำอสุจิ และน้ำในช่องคลอดเท่านั้น
HIV ย่อมาจากชื่อของไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์
Human = มนุษย์
Immunodeficiency = ภูมิคุ้มกันเสื่อมลง
Virus = เชื้อไวรัส
AIDS เป็นชื่อย่อของโรคเอดส์ หมายถึง กลุ่มอาการที่เกิดจากภูมิคุ้มกันเสื่อมลงมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส HIV
Acquired = เกิดขึ้นภายหลัง
Immune = ภูมิคุ้มกัน
Deficiency = เสื่อมลง
Syndrome = กลุ่มอาการ
ประวัติความเป็นมา
โรคเอดส์พบครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2524 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยเป็นชายรักร่วมเพศป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อนิวโมซีสตีสแครินิอาย (Pneumocystis Carinii) ทั้งที่เป็นคนแข็งแรงมาก่อน และไม่ค่อยใช้ยากดภูมิต้านทาน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่า เชลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานโรคไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จากการศึกษาย้อนหลังพบว่า โรคนี้มีต้นกำเนิดจากประเทศแถบอัฟริกาตะวันตกในปี พ.ศ.2503 และต่อมาได้แพร่ไปยังเกาะไฮติ ทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเซีย รวมทั้งประเทศไทยด้วย
สำหรับผู้ป่วยเอดส์รายแรกในประเทศไทยนั้นเป็นชายอายุ 28 ปี เดินทางไปศึกษาต่อที่อเมริกาและมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เริ่มมีอาการในปี พ.ศ.2526 ได้รับการตรวจและรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอเมริกาพบว่าปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis Carinii แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นโรคเอดส์จึงกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทย ในปี พ.ศ.2527 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์
ผู้ที่มีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกายแต่ไม่มีอาการผิดปกติ, ไม่ป่วย เรียกว่า “ผู้ติดเชื้อเอดส์”
ผู้ติดเชื้อเอดส์ที่ภูมิคุ้มกันเสื่อมลงและมีอาการป่วยเรียกว่า “ผู้ป่วยเอดส์”
การติดต่อ
เชื้อเอดส์ติดต่อได้ 3 ทาง ได้แก่
ทางเลือด โดยเชื้อโรคอาจเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล เข็มฉีดยา รอยสัก เยื่อบุบาง ๆ เช่น เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุตา ฯลฯ
ทางเพศสัมพันธ์ เชื้อเอดส์สามารถซึมผ่านเยื่อบุท่อปัสสาวะและช่องคลอดได้ โดยไม่ต้องมีแผลหรือรอยถลอก ปาก คอ รวมทั้งเยื่อบุทวารหนักด้วย
จากแม่สู่ลูกในครรภ์ ซึ่งไม่ได้ติดเชื้อทุกราย ลูกจะติดเชื้อจากแม่เพียง 25-30% เท่านั้น และถ้าป้องกันด้วยการใช้ยา การติดเชื้อจากแม่จะลดลงเหลือประมาณ 8-10% เท่านั้น
กลไกการก่อโรคของเชื้อเอดส์
เมื่อเชื้อเอดส์ผ่านเข้าสู่กระแสเลือด ร่างกายจะตอบสนองโดยการสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อเอดส์ (แอนติบอดี้) ซึ่งสามารถยับยั้งการทำงานของเชื้อเอดส์บางส่วนได้ การตรวจหาการติดเชื้อเอดส์จะใช้วิธีตรวจแอนติบอดี้แทนการตรวจเชื้อเอดส์ เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกกว่ามาก
เชื้อเอดส์จะเข้าเกาะติดกับเม็ดเลือดบางชนิด CD4 ซึ่งปกติทำหน้าที่เป็นภูมิต้านทานเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมอื่น และจะเจาะผ่านเข้าอยู่ภายในเซลล์ เชื้อเอดส์จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นจนเซลล์ CD4 แตกออก เชื้อเอดส์จะเข้าสู่กระแสเลือดไปเกาะเซลล์ CD4 ตัวอื่นๆ ต่อไป
ภูมิคุ้มกันร่างกาย ไม่สามารถทำลายเฉพาะเชื้อเอดส์ที่มีอยู่ในเซลล์ CD4 แต่เซลล์ CD4 ที่มีเชื้อเอดส์จะถูกทำลายไปด้วย เพราะภูมิคุ้มกันไม่สามารถเลือกทำลายเฉพาะเชื้อเอดส์ได้ เมื่อเซลล์ CD4 ลดลงเรื่อยๆ ภูมิคุ้มกันร่างกายจึงเสื่อมลงจนไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ได้
การวิเคราะห์โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ อาศัยปัจจัย 4 ประการ
ทางออกของเชื้อ เชื้อเอดส์ออกจากร่างกายทางน้ำคัดหลั่งที่มีปริมาณเชื้อเอดส์อยู่มากได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น น้ำในช่องคลอด เลือดประจำเดือน น้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง ส่วนน้ำคัดหลั่งอื่นไม่สามารถแพร่เชื้อเอดส์ได้ ยกเว้นน้ำนมแม่ที่แพร่เชื้อเอดส์เฉพาะทารกที่ดูดนมแม่เท่านั้น
สภาพแวดล้อมที่ช่วยให้เชื้อเอดส์มีชีวิตอยู่ได้ เชื้อเอดส์จะตายง่ายในสภาพแวดล้อมที่ร้อนและแห้ง แต่จะมีชีวิตอยู่ได้นานในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น อับชื้นและมืด เช่น ช่องคลอด ทวารหนัก กระบอกฉีดยา ถุงเก็บเลือดบริจาค ฯลฯ
ทางเข้าของเชื้อ เชื้อเอดส์ผ่านเข้าสู่ร่างกายทางรอยแผล รอยถลอก และเยื่อบุบางๆ ชั้นเดียวที่อาจมี หรือไม่มีการฉีกขาดก็ได้ เช่น เยื่อบุตา เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุทวารหนัก ผนังช่องคลอด รูเปิดของอวัยวะเพศชาย ฯลฯ
ปริมาณเชื้อเอดส์ การก่อโรคนั้นจะต้องมีปริมาณเชื้อเอดส์ที่มากพอ โดยเฉพาะถ้าติดเชื้อจากน้ำคัดหลั่งที่มีความเข้มข้นของเชื้อสูง ส่วนน้ำคัดหลั่งที่แพร่เชื้อไม่ได้ มักมีจำนวนเชื้อเอดส์และเซลล์ CD4 น้อยมาก และอาจมีสารบางอย่างที่มีฤทธิ์ทำลายเชื้อเอดส์ได้ เช่น ในน้ำลาย,น้ำตาจะมีน้ำย่อย, และในปัสสาวะจะมีความเป็นกรดเป็นด่าง เป็นต้น
ระยะต่างๆ ของการเกิดเชื้อเอดส์และการป่วย
ระยะตรวจไม่พบการติดเชื้อ
เริ่มตั้งแต่รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะไม่สามารถตรวจพบได้ จนกว่าร่างกายสร้างแอนติบอดี้ต่อเชื้อเอดส์ ใช้เวลา 2 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน (บางครั้งอาจนานถึง 6 เดือน) เป็นช่วงที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก เนื่องจากปริมาณเชื้อในกระแสเลือดสูง และเป็นระยะที่ตรวจไม่พบการติดเชื้อทั้งที่มีเชื้อเอดส์อยู่ (Window period) ดังนั้นการตรวจเลือดได้ผลลบในผู้ที่เพิ่งรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจึงไม่ได้หมายความว่าคนผู้นั้นปลอดเอดส์อย่างแท้จริง
ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ
ผู้ติดเชื้อจะดูปกติแยกไม่ออกจากคนทั่วไป การปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตและเอาใจใส่ดูแล สุขภาพอย่างดี จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันเสื่อมช้าลง มีผู้ติดเชื้อเอดส์หลายคนยังคงแข็งแรงดี แม้จะติดเชื้อมานานถึง 15 ปีแล้ว
ระยะเริ่มมีอาการ
ผู้ติดเชื้อเอดส์อาจมีต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณหลังคอ รักแร้และขาหนีบ แต่ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ กลับไปสู่ระยะที่ 2 ได้ อาการที่พบบ่อยได้แก่ ไข้สูงนานหลายสัปดาห์ เชื้อราในช่องปาก มะเร็งผิวหนัง เหงื่อออกกลางคืน น้ำหนักลดมากๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต และโรคติดเชื้อแทรกซ้อนต่างๆ
การป้องกัน
การติดต่อทางเลือด ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ใส่ถุงมือทุกครั้งถ้าต้องสัมผัสกับเลือดน้ำเหลือง น้ำหนอง
การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ป้องกันโดยการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
การป้องกันการติดต่อจากแม่สู่ลูกในท้อง ต้องมีการเตรียมตัวก่อนแต่งงานโดยการตรวจสุขภาพและตรวจเลือด
ที่มา : คลังปัญญาไทย
http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B9%8C
เอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immuno Deficiency Syndrome) เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า HIV หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเชื้อเอดส์ ซึ่งจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค มีผลทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกทำลายทำให้ติดโรคชนิดอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ท้องร่วงเรื้อรัง เชื้อราในสมอง ติดเชื้อในกระแสโลหิตรุนแรง หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ อาการรุนแรง ฯลฯ และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต
เชื้อไวรัสเอดส์ หรือ HIV (Human Immunodeficiency Virus) สามารถแบ่งตัวในเซลล์ของคน เช่น เม็ดเลือดขาว เซลล์สมอง เมื่อติดเชื้อร่างกายจะสร้างภูมิต้านทาน (Antibody) ต่อต้านเชื้อไวรัส แต่ไม่สามารถกำจัดให้หมดไป เชื้อยังคงอยู่ในเม็ดเลือดและแพร่ต่อไปได้ และจะไปทำลายเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมการทำงานของระบบ ภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานลดลง
เชื้อไวรัสเอดส์สามารถอาศัยหรือทำให้เกิดโรคในคนเท่านั้น ไม่สามารถทำให้เกิดโรคในสัตว์อื่น เมื่อออกมานอกร่างกายคนแล้วจะไม่สามารถทนสภาพแวดล้อมภายนอกได้ อาจมีชีวิตได้นานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันเท่านั้นขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความร้อน ความเย็น สภาวะกรด ด่าง ความแห้ง ความชื้น เช่น เพียงถูกความร้อน 56 องศาเซลเซียส นาน 10-15 นาที เชื้อก็ตายหมด นอกจากนี้ยังทำลายได้ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ เช่น น้ำยาซักผ้าขาว (โซเดียมไฮโปคลอไรท์ 5%) เชื้อไวรัสเอดส์พบมากที่สุดในเลือด น้ำเหลือง เนื้อเยื่อต่างๆ รองลงมาคือน้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ส่วนน้ำลาย เสมหะ น้ำนม มีปริมาณไวรัสเอดส์น้อย สำหรับเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ แทบไม่พบเลย แม้ว่าเชื้อเอดส์จะปะปนในของเหลวที่ออกจากร่างกาย แต่พบว่าโอกาสแพร่โรคมีเฉพาะเลือด น้ำอสุจิ และน้ำในช่องคลอดเท่านั้น
HIV ย่อมาจากชื่อของไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์
Human = มนุษย์
Immunodeficiency = ภูมิคุ้มกันเสื่อมลง
Virus = เชื้อไวรัส
AIDS เป็นชื่อย่อของโรคเอดส์ หมายถึง กลุ่มอาการที่เกิดจากภูมิคุ้มกันเสื่อมลงมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส HIV
Acquired = เกิดขึ้นภายหลัง
Immune = ภูมิคุ้มกัน
Deficiency = เสื่อมลง
Syndrome = กลุ่มอาการ
ประวัติความเป็นมา
โรคเอดส์พบครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2524 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยเป็นชายรักร่วมเพศป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อนิวโมซีสตีสแครินิอาย (Pneumocystis Carinii) ทั้งที่เป็นคนแข็งแรงมาก่อน และไม่ค่อยใช้ยากดภูมิต้านทาน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่า เชลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานโรคไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จากการศึกษาย้อนหลังพบว่า โรคนี้มีต้นกำเนิดจากประเทศแถบอัฟริกาตะวันตกในปี พ.ศ.2503 และต่อมาได้แพร่ไปยังเกาะไฮติ ทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเซีย รวมทั้งประเทศไทยด้วย
สำหรับผู้ป่วยเอดส์รายแรกในประเทศไทยนั้นเป็นชายอายุ 28 ปี เดินทางไปศึกษาต่อที่อเมริกาและมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เริ่มมีอาการในปี พ.ศ.2526 ได้รับการตรวจและรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอเมริกาพบว่าปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis Carinii แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นโรคเอดส์จึงกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทย ในปี พ.ศ.2527 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์
ผู้ที่มีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกายแต่ไม่มีอาการผิดปกติ, ไม่ป่วย เรียกว่า “ผู้ติดเชื้อเอดส์”
ผู้ติดเชื้อเอดส์ที่ภูมิคุ้มกันเสื่อมลงและมีอาการป่วยเรียกว่า “ผู้ป่วยเอดส์”
การติดต่อ
เชื้อเอดส์ติดต่อได้ 3 ทาง ได้แก่
ทางเลือด โดยเชื้อโรคอาจเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล เข็มฉีดยา รอยสัก เยื่อบุบาง ๆ เช่น เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุตา ฯลฯ
ทางเพศสัมพันธ์ เชื้อเอดส์สามารถซึมผ่านเยื่อบุท่อปัสสาวะและช่องคลอดได้ โดยไม่ต้องมีแผลหรือรอยถลอก ปาก คอ รวมทั้งเยื่อบุทวารหนักด้วย
จากแม่สู่ลูกในครรภ์ ซึ่งไม่ได้ติดเชื้อทุกราย ลูกจะติดเชื้อจากแม่เพียง 25-30% เท่านั้น และถ้าป้องกันด้วยการใช้ยา การติดเชื้อจากแม่จะลดลงเหลือประมาณ 8-10% เท่านั้น
กลไกการก่อโรคของเชื้อเอดส์
เมื่อเชื้อเอดส์ผ่านเข้าสู่กระแสเลือด ร่างกายจะตอบสนองโดยการสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อเอดส์ (แอนติบอดี้) ซึ่งสามารถยับยั้งการทำงานของเชื้อเอดส์บางส่วนได้ การตรวจหาการติดเชื้อเอดส์จะใช้วิธีตรวจแอนติบอดี้แทนการตรวจเชื้อเอดส์ เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกกว่ามาก
เชื้อเอดส์จะเข้าเกาะติดกับเม็ดเลือดบางชนิด CD4 ซึ่งปกติทำหน้าที่เป็นภูมิต้านทานเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมอื่น และจะเจาะผ่านเข้าอยู่ภายในเซลล์ เชื้อเอดส์จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นจนเซลล์ CD4 แตกออก เชื้อเอดส์จะเข้าสู่กระแสเลือดไปเกาะเซลล์ CD4 ตัวอื่นๆ ต่อไป
ภูมิคุ้มกันร่างกาย ไม่สามารถทำลายเฉพาะเชื้อเอดส์ที่มีอยู่ในเซลล์ CD4 แต่เซลล์ CD4 ที่มีเชื้อเอดส์จะถูกทำลายไปด้วย เพราะภูมิคุ้มกันไม่สามารถเลือกทำลายเฉพาะเชื้อเอดส์ได้ เมื่อเซลล์ CD4 ลดลงเรื่อยๆ ภูมิคุ้มกันร่างกายจึงเสื่อมลงจนไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ได้
การวิเคราะห์โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ อาศัยปัจจัย 4 ประการ
ทางออกของเชื้อ เชื้อเอดส์ออกจากร่างกายทางน้ำคัดหลั่งที่มีปริมาณเชื้อเอดส์อยู่มากได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น น้ำในช่องคลอด เลือดประจำเดือน น้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง ส่วนน้ำคัดหลั่งอื่นไม่สามารถแพร่เชื้อเอดส์ได้ ยกเว้นน้ำนมแม่ที่แพร่เชื้อเอดส์เฉพาะทารกที่ดูดนมแม่เท่านั้น
สภาพแวดล้อมที่ช่วยให้เชื้อเอดส์มีชีวิตอยู่ได้ เชื้อเอดส์จะตายง่ายในสภาพแวดล้อมที่ร้อนและแห้ง แต่จะมีชีวิตอยู่ได้นานในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น อับชื้นและมืด เช่น ช่องคลอด ทวารหนัก กระบอกฉีดยา ถุงเก็บเลือดบริจาค ฯลฯ
ทางเข้าของเชื้อ เชื้อเอดส์ผ่านเข้าสู่ร่างกายทางรอยแผล รอยถลอก และเยื่อบุบางๆ ชั้นเดียวที่อาจมี หรือไม่มีการฉีกขาดก็ได้ เช่น เยื่อบุตา เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุทวารหนัก ผนังช่องคลอด รูเปิดของอวัยวะเพศชาย ฯลฯ
ปริมาณเชื้อเอดส์ การก่อโรคนั้นจะต้องมีปริมาณเชื้อเอดส์ที่มากพอ โดยเฉพาะถ้าติดเชื้อจากน้ำคัดหลั่งที่มีความเข้มข้นของเชื้อสูง ส่วนน้ำคัดหลั่งที่แพร่เชื้อไม่ได้ มักมีจำนวนเชื้อเอดส์และเซลล์ CD4 น้อยมาก และอาจมีสารบางอย่างที่มีฤทธิ์ทำลายเชื้อเอดส์ได้ เช่น ในน้ำลาย,น้ำตาจะมีน้ำย่อย, และในปัสสาวะจะมีความเป็นกรดเป็นด่าง เป็นต้น
ระยะต่างๆ ของการเกิดเชื้อเอดส์และการป่วย
ระยะตรวจไม่พบการติดเชื้อ
เริ่มตั้งแต่รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะไม่สามารถตรวจพบได้ จนกว่าร่างกายสร้างแอนติบอดี้ต่อเชื้อเอดส์ ใช้เวลา 2 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน (บางครั้งอาจนานถึง 6 เดือน) เป็นช่วงที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก เนื่องจากปริมาณเชื้อในกระแสเลือดสูง และเป็นระยะที่ตรวจไม่พบการติดเชื้อทั้งที่มีเชื้อเอดส์อยู่ (Window period) ดังนั้นการตรวจเลือดได้ผลลบในผู้ที่เพิ่งรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจึงไม่ได้หมายความว่าคนผู้นั้นปลอดเอดส์อย่างแท้จริง
ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ
ผู้ติดเชื้อจะดูปกติแยกไม่ออกจากคนทั่วไป การปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตและเอาใจใส่ดูแล สุขภาพอย่างดี จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันเสื่อมช้าลง มีผู้ติดเชื้อเอดส์หลายคนยังคงแข็งแรงดี แม้จะติดเชื้อมานานถึง 15 ปีแล้ว
ระยะเริ่มมีอาการ
ผู้ติดเชื้อเอดส์อาจมีต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณหลังคอ รักแร้และขาหนีบ แต่ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ กลับไปสู่ระยะที่ 2 ได้ อาการที่พบบ่อยได้แก่ ไข้สูงนานหลายสัปดาห์ เชื้อราในช่องปาก มะเร็งผิวหนัง เหงื่อออกกลางคืน น้ำหนักลดมากๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต และโรคติดเชื้อแทรกซ้อนต่างๆ
การป้องกัน
การติดต่อทางเลือด ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ใส่ถุงมือทุกครั้งถ้าต้องสัมผัสกับเลือดน้ำเหลือง น้ำหนอง
การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ป้องกันโดยการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
การป้องกันการติดต่อจากแม่สู่ลูกในท้อง ต้องมีการเตรียมตัวก่อนแต่งงานโดยการตรวจสุขภาพและตรวจเลือด
ที่มา : คลังปัญญาไทย
http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B9%8C
ความลับของ ' มัมมี่
ผู้เขียนเชื่อแน่ว่า คำว่า “มัมมี่” คงเป็นที่คุ้นหูหรือเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับท่านผู้อ่านเกือบทุกคน และเป็นศัพท์ที่พูดแล้วก็นึกภาพออกได้ทันทีว่ารูปร่างหน้าตาของมัมมี่เป็นอย่างไร เมื่อนึกถึงมัมมี่ก็มักจะนึกถึงปิรามิด สถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์ที่ตั้งสูงทมึนอยู่ท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้างคู่ไปด้วย เพราะว่าสิ่งสองสิ่งนี้มันเป็น- “สิ่งมหัศจรรย์” ที่เป็นสมบัติแห่งความลึกลับของชนชาวอิยิปต์โบราณ
แม้จะมีการศึกษาเรื่องราวของมัมมี่มาเป็นเวลานานแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันนี้การศึกษาความลับของมัมมี่ก็ยังคงกระทำอยู่ เพราะวิทยาการที่สูงขื้น เครื่องไม้เครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพขึ้น ยิ่งทำให้สามารถเจาะลึกเข้าไปสู่ความลับในประวัติศาสตร์นี้ได้มากขึ้น เราสามารถเห็นนักวิทยาศาสตร์ และนักโบราณคดีเป็นจำนวนมากก้มหน้าก้มตาศึกษา -เรื่องราวของมัมมี่อย่างจริงจัง เช่น ที่โรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ที่พิพิธภัณฑ์ศูนย์วิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งโบราณคดี ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย หรือว่า ที่สถาบัน -ศิลปศาสตร์แห่งเมืองดิทรอยท์ เป็นต้น การศึกษานอกจากจะใช้วิธีผ่าศพมัมมี่โดยตรงก็ยังมีการนำเอาระบบการถ่ายภาพจากแสงเอกซเรย์ 3 มิติ ที่เรียกว่า “Computerized Axial Tomography (CAT)“ มาใช้ซึ่งนอกจากจะไม่ต้องทำลายมัมมี่ที่ใช้ศึกษาอยู่แล้ว ยังสามารถให้รายละเอียดได้อย่างชัดเจนด้วย
จากความเชื่อของมนุษย์นับเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปีมาแล้ว เกี่ยวกับเรื่องของร่างกาย และวิญญาณ โดยที่เชื่อว่าการตายก็คือการที่วิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างที่เคยอาศัยอยู่ ความเชื่อถือของชาวอียิปต์โบราณ คิดว่าวิญญาณที่ได้หลุดลอยออกจากร่างเมื่อถึงเวลาหนึ่งได้เข้าไปสู่โลกอีกโลกหนึ่งซึ่งอาจจะเรียกว่า “โลกของพระเจ้า” และในวันหนึ่งข้างหน้าวิญญาณนั้นก็จะกลับมา ข้อสำคัญเมื่อวิญญาณกลับมาแล้วก็ต้องอาศัยร่างกายอยู่ และร่างกายที่จะอาศัยอยู่ได้ก็คงจะต้องเป็นร่างกายของตนเองซึ่งครั้งหนึ่งตนได้เคยอาศัยอยู่แล้ว จากความเชื่อถือนี้ การรักษาร่างกายให้คงสภาพไว้เพื่อรอการกลับมาของเจ้าของเดิมจึงเป็นสิ่งที่ชาวอียิปต์โบราณหาวิธีการทีจะทำให้ได้
ทุกสิ่งมีวิวัฒนาการ มัมมี่ก็เช่นกันในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณร่างกายของคนตายได้ถูกห่อไว้ด้วยผ้าหรือเสื่ออย่างลวก ๆ และถูกฝังไว้ในหลุมแคบ ๆ ภายใต้พื้นทรายลึกลงไปไม่กี่ฟุต หลุมที่ฝังก็อาจจะขุดกันอย่างหยาบ ๆ อาจจะมีการก่ออิฐหรือปูด้วย ไม้กระดานบ้าง แต่ก็ไม่มีศิลปะอะไร การฝังศพแบบนี้ชาวอียิปต์ในยุคนั้นก็ได้พบ-ความจริงข้อหนึ่งว่า ภายใต้ความร้อนระอุของพื้นทรายที่ถูกแสงแดดอันแรงกล้าเผาอยู่ตลอดเวลาศพภายในหลุมหยาบ ๆ นั้นมีสภาพเหมือนถูกอบหรือตากแห้ง และมีผลทำให้ศพนั้น ยังคงสภาพอยู่ได้เป็นเวลานาน การที่ศพไม่เน่าเปื่อยและจากความคิดความเชื่อถือที่ว่าวันหนึ่งวิญญาณที่จากไปก็จะกลับคืนมาอีก ญาติพี่น้องก็เลยกลัวว่าถ้าศพฟื้นขึ้นมาเมี่อไรก็อาจจะกลายเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกไปก็ได้ ก็เลยฝังพวกหม้อข้าวหม้อแกง เพชรพลอยหรือแม้แต่เครื่องใช้เครื่องมือในการทำมาหากินเอาไว้ให้ด้วย
เมื่อนานวันเข้า ความตายเป็นสิ่งมนุษย์เริ่มพิถีพิถันกันกับมัน พิธีรีตองเกี่ยวกับคนตายก็ชักจะมีมากขึ้นหลุมฝังศพชนิดที่ว่าสักแต่ขุดให้มันเป็นรูปเป็นโพรงก็ชักจะไม่เข้าทีเสียแล้ว หลุมศพจึงเริ่มพัฒนาตัวมันเอง เริ่มจากการที่ต้องขุดอย่างมีศิลปะ มีการก่ออิฐทำผนังหลุม และก็พยายามจัดทำให้เหมือนกับเป็นห้องๆ หนึ่ง และเพื่อให้คนตายได้นอนอย่างสบาย ๆ เหยียดแข้งเหยียดขาได้เต็มที่แทนที่จะต้องถูกมัดให้คุดคู้อยู่ในหลุมรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งผู้ตายพูดได้ก็คงจะบ่นว่าอึดอัดเหลือทน หลุมที่ฝังก็เลยแปรเปลี่ยนมาเป็นลักษณะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ศพเลยสามารถที่จะเหยียดร่างได้เต็มที่ ไม่จบเพียงแค่นั้น เพื่อให้คนตายมีความรู้สึกว่าอาศัยอยู่ในบ้านจริง เหนือหลุมฝังศพก็เลยต้องก่อสร้างให้รูป -ทรงคล้ายกับบ้าน มีหลังคามีฝาผนังทำนองนั้น ที่มีฐานะหน่อยก็อาจจะสร้างให้คล้ายๆ กับวังไปเลย เมื่อหลุมศพถูกวิวัฒนาการมาเป็นอย่างนั้น ศพที่เคยถูก “อบแห้ง” โดยธรรมชาติภายใต้ผิวทรายร้อน ๆ ก็เลยเป็นอันว่าจบกัน ปัญหาเรื่องศพเน่าเปื่อยก็เลยตามมา
ในยุคของราชวงศ์อียิปต์แรก ๆ (ก็ราวๆ เกือบ 3000 ปีก่อนคริสตศักราช) ศพจะถูกห่อ และมัดอย่างแน่นหนาด้วยผ้าลินินซึ่งอาบน้ำยา ศพถูกห่อไว้ด้วยผ้าหนามากจนแลดูกลมกะลุกปุ๊ก ถ้าจะเรียกว่ามัมมี่ก็คงเป็นมัมมี่ตุ๊ต๊ะ
ล่วงเลยมาจนถึงราชวงศ์ที่สองแห่งอียิปต์ (ประมาณ 2800 ปีก่อนคริสตศักราช) ความพยายามที่จะแต่งตัวให้มัมมี่ดูหล่อขึ้นก็เริ่มกันตอนนี้ มีการห่อศพด้วยผ้าลินินชุบน้ำยาอย่างพิถีพิถัน การห่อก็ไม่ใช่สักแต่ว่าห่อ ๆ ไป มีการพัวหัวพันขาแขน หรือพันรอบหน้าอก หน้าท้องเป็นส่วน ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือพันให้เห็นเป็นรูปทรงของคนไม่ใช่พันแบบให้ต้องเดาว่าภายในห่อผ้านั้นเป็นหมูหรือเป็นคน แม้แต่นิ้วมือนิ้วเท้าก็พยายามพันเน้นให้เห็นนิ้วทั้ง 5 (จะได้ไม่เข้าใจผิดว่าก่อนตายอ้ายหมอนี่นิ้วด้วนหรือเปล่า)
ความพยายามของการศึกษาของนักแต่งศพชาวอียิปต์ ค้นพบว่าสาเหตุของการเน่าเปื่อยของศพ อวัยวะภายในมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาก ดังนั้นการทำความสะอาดภายใน จึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ศพถูกรักษาให้คงทนได้ยาวนานขึ้น ดังนั้นในปลายราชวงศ์ที่สามแห่งอียิปต์โบราณ (ราว 2600 ปีก่อนคริสตศักราช) การล้วงตับล้วงไส้ ของศพ-ออกมาจึงเป็นกรรมวิธีสำคัญของนักแต่งศพชาวอียิปต์
ในหลุมฝังศพของราชินีที่สี่แห่งราชวงศ์อียิปต์โบราณ พระนาม “ราชินีเฮเตเฟเรส” (Hetepheres) ซึ่งเป็นพระชายาแห่งสเนฟรู (Snefru) หรือว่าเป็นพระชนนีของกษัตริย์คืออปส์ ได้มีการค้นพบภาชนะหินปูน ซึ่งภายในบรรจุอวัยวะภายในของราชินี แช่ไว้ด้วยของเหลวที่เรียกว่าเนตรอน (Natron) ซึ่งเป็นสารละลายของโซดาชนิดหนึ่ง เป็นที่น่าทึ่งที่ว่าภาชนะนี้มีการปิดผนึกอย่างดีจนของเหลวดังกล่าว อยู่ในนั้นได้เป็นเวลา 4000 ปี “ดอง” เครื่องในของพระราชินีให้คงสภาพไว้ได้อย่างนานแสนนาน
ในช่วงประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 4-5 (2570-2450 ปีก่อนคริสตศักราช) เทคนิคของการทำมัมมี่ได้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ อย่างมัมมี่ของเพตริค (Peric) ซึ่งค้นพบโดยนักอียิปต์วิทยาชาวอังกฤษชื่อ วิลเลี่ยม เอ็ม เอฟ เพตริค (William M.F.Petric) แสดงให้เห็นถึงเทคนิคของการทำมัมมี่ในยุคของราชวงศ์ที่ 5 ศพจะถูกพันมัดด้วยแถบผ้าลินินอย่างประณีต มีการแสดงถึงรูปลักษณะภายนอกด้วยยางสนชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความคงทนถาวรมาก ขนาดคิ้ว หรือหนวดของผู้ตายก็ยังแสดงออกให้เห็น สภาพมัมมี่อยู่ในลักษณะเหยียดตรงเต็มส่วนสูง อวัยวะภายในถูกคว้านออก มีการทำความสะอาดแล้วอัดให้แน่นด้วยก้อนผ้าลินินอาบน้ำยา เทคนิคต่างๆ ที่ใช้ก็มีผลในการรักษาอวัยวะทุกส่วนในร่างกายให้คงสภาพอยู่ได้อย่างถาวร แม้แต่รูปลักษณ์ที่ปรากฏภายนอกก็พยายามจัดทำให้คงสภาพไว้ (มัมมี่ของเพตริคนี้ได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่วิทยาลัยศัลกรรมหลวงในกรุงลอนดอน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าถูกทำลายไปในสงครามโลกคราวที่กรุงลอนดอนถูกโจมตีทางอากาศในปี ค.ศ. 1941)
หลักฐานมัมมี่มีอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงถึงความเจริญของวิชาการด้านนี้ในยุคราชวงศ์ที่ 5 ค้นพบโดยนักอียิปต์วิทยาชาวอเมริกันชื่อ ยอร์ช เอ ไรส์เนอร์ ซึ่งขุดเจอที่ปิรามิดแห่งกิซา จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่ามัมมี่ที่พบนี้เป็นศพของเยนตี้ (Yenty) อัครมหาเสนาบดีในยุคนั้น มัมมี่ได้ถูกประจุไว้ในโลงศพที่ทำด้วยหินแกรนิต ถึงแม้ว่าสภาพของมัมมี่จะถูกทำลายไปโดยฝีมือของคนร้ายที่ทำมาหากินกับการขุดสมบัติในสุสานของอียิปต์โบราณ แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยของเทคนิคชั้นสูงในการทำมัมมี่ให้เห็นอยู่ โดยเฉพาะเค้าหน้าของมัมมี่ถูกรักษาไว้ให้อยู่ในสภาพเดิมได้อย่างน่าทึ่ง
ที่นี้ก็มาถึงยุคราชวงศ์ที่ 6 บ้าง (ราวปี 2340 ก่อนคริสตศักราช) เริ่มมีการใช้ปูนปลาสเตอร์ฉาบหน้าหรือศีรษะบางทีก็พอกมัมมี่ทั้งตัว ใบหน้าที่พอกฉาบด้วยปลาสเตอร์มีการรเขียนและตกแต่งเป็นรูปใบหน้าอย่างสวยงาม หลังจากพอกหนัก ๆ เข้า สัปเหร่อปัญญาชนก็เลยมองเห็นลู่ทางอื่นในการตกแต่งใบหน้าของมัมมี่ ด้วยการทำเป็นหน้ากากสวม หน้ากากที่ว่านี้ทำด้วยสารคาร์ตันเนจ (Cartonnege) ซึ่งเป็นส่วนผสมของกระดาษปาปีรับ (Papyrus) ผ้า และปลาสเตอร์รวมกัน หน้ากากที่ทำนี้มีน้ำหนัก แข็งแรง และความคงทนมากกว่า รวมทั้งสามารถตกแต่งให้สวยงามได้ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าสมัยนั้นจะมีการทำหน้ากากคาร์ตันเนจออกขายหรือเปล่า ใครตายแล้วอยากจะสวมหน้ากากแบบไหนจะได้หาซื้อไว้ ภายหลังไม่ใช่แต่เฉพาะศีรษะหรือใบหน้าเท่านั้นที่ปกปิดไว้ด้วยหน้ากากคาร์ตันเนจ เทคนิคนี้ลามลงไปจนถึงปิดไปทั่วตัวและนี่คือที่มาของโลงศพรูปคน เทคนิคของมัมมี่ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในช่วงราว 2050-1990 ก่อนคริสตศักราช หรือที่เรียกว่าเป็นช่วงอาณาจักรยุคกลางของอียิปต์โบราณ
จวบจนถึงยุคอาณาจักรของพระเจ้าทีบส์ (Thebes) ในราว 1550 ปีก่อนคริสตศักราช เทคนิคของมัมมี่พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด นอกจากอวัยวะการภายในจะถูกนำออกมาแล้ว จัดกลับเข้าไปด้วยผ้าอาบน้ำยายังมีการดูดมันสมองออกจากกะโหลกอีกด้วย เทคนิคของการใช้สารเคมีต่าง ๆ มีมากขึ้น สารเคมีบางอย่างถูกฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อที่จะรักษาสภาพของผิวหนังให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลอยู่ได้นาน ๆ
จากการฝังศพลงไปในหลุมที่ขุดอย่างหยาบ ๆ ภายใต้พื้นทรายอันร้อนระอุค่อยเปลี่ยนแปลงมาเป็นหลุมที่มีการตกแต่งผนังให้ดูเรียบร้อยเหนือหลุมฝังศพก็มีการก่อสร้างจำลองเป็นรูปบ้าน ลักษณะของหลุมศพในยุคอียิปต์ต้น ๆ ค่อนข้างเล็ก ซึ่งคิดว่าศพคงต้องนอนคุดคู้อยู่ภายใน ต่อมาก็จึงเปลี่ยนมาเป็นหลุมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งกว้างยาวพอที่ศพจะนอนเหยียดได้อย่างเต็มที่ ต่อมาศพก็ค่อยเลื่อนขั้นขึ้น มีการบรรจุลงในหีบศพซึ่งมีทั้งหีบไม้ หินปูน จนถึงหินแข็งอย่างหินแกรนิต
ความคิดของชาวอียิปต์ ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ จากหีบศพที่เรียบ ๆ เริ่มมีการตกแต่งจัดทำรอบ ๆ หีบศพให้ดูมีลักษณะเหมือนพระราชวัง บวกกับความเชื่อถือทางศาสนา หีบศพบางอันจึงมีการเขียนรูปดวงดาวคู่หนึ่งไว้ด้วย ด้วยเกรงว่าเจ้าของหีบศพไม่สามารถทัศนาโลกภายนอกอันสดใสได้ ภายหลังหีบศพไม่เพียงแต่แกะสลักหรือวาดรูปแต่เฉพาะภายนอก แม้แต่ภายในก็มีการตกแต่งประดับประดาด้วยคงจะคิดว่าบ้านจะน่าอยู่ไม่ใช่แต่จะแต่งเฉพาะภายนอก ภายในก็ต้องหรูด้วย และสิ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คือ คำจารึกเหนือ -หีบศพ เป็นคำสวดอ้อนวอนขอให้พระเจ้าได้ช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ที่อยู่ในหลุมนั้นด้วย
แน่นอน ถ้าหีบศพเปรียบเสมือนบ้านก็คงจะมีแต่ตัวบ้านเฉย ๆ ไม่ได้ ก็มีการวาดภาพเครื่องใช้ เสื้อผ้า เครื่องมือ เฟอร์นิเจอร์ ตลอดจนอาวุธที่ใช้ป้องกันตัวบนแผ่นหินข้างหีบศพด้วย ทั้งนี้เพื่อเอาไว้ให้ผู้ตายได้ใช้สอย
จะเห็นว่าความคิดทีจะจัดเตรียมของใช้ต่าง ๆ ไว้ให้สำหรับคนตาย ยังมีอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ในพิธีกงเต๊กของคนจีน บรรดาเครื่องใช้ไม้สอยที่ทำด้วยกระดาษถูกเผาในพิธีเพื่อจัดส่งให้คนตายนำไปใช้ในภพหน้า และก้าวหน้าจนถึงขั้นในปัจจุบันนี้สิ่งที่เผาส่งไปให้นอกจากบ้านพร้อมที่ดิน แล้วยังมีรถคันใหญ่ ๆ (บางทีก็ระบุยี่ห้อเบนซ์หรือวอลโว่ลงไปด้วย) ที.วี. สีตลอดจนตู้เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า คิดว่าในอนาคตข้างหน้าโรงไฟฟ้าในเมืองผีมีหวังต้องขยายโรงงานแน่ และน้ำมันก็คงจะต้องขึ้นราคาเพราะใช้รถกันเยอะ
ต่อมาหีบศพก็เริ่มเปลี่ยนแปลงมาทำจำลองเป็นรูปคน มีการแกะสลักหน้าตาอวัยวะต่าง ๆ ส่วนใหญ่มักจะทำเป็นรูปคนยืนเหยียดตรง มือทั้งสองผสานไว้ที่หน้าอก หีบศพรูปคนเหล่านี้เก็บไว้ภายในหลุมฝังศพที่ก่อสร้างเป็นรูปอาคารอีกทีหนึ่งบางทีอาจมีหลาย ๆ หีบรวมอยู่ในหลุมเดียวกันก็ได้
ภายหลังเมื่อมีการคว้านเอาอวัยวะภายในของศพก่อนจะทำเป็นมัมมี่ อวัยวะเหล่านี้ก็ต้องถูกเก็บรักษาด้วย จึงจะต้องมีการจัดทำภาชนะเพื่อที่จะเก็บอวัยวะเครื่องในเหล่านี้ ภาชนะพวกนี้มีชื่อเฉพาะเรียกว่า คาโนปิค (Canopic) มาจากชื่อของคาโนปัส (Canopus) นักรบแห่งเมนาเลียส (Menaleus) ซึ่งศพของเขาถูกเก็บไว้ในภาชนะรูปทรงคล้ายตุ่ม (คือป่องกลาง) มีฝาครอบทำเป็นรูปหัวคน ด้วยเหตุนี้คาโนปิคจึงมีลักษณะคล้ายตุ่มมีฝาครอบ แต่มีทั้งหมด 4 ฝาด้วยกัน เนื่องจากตัวภาชนะบรรจุเครื่องในเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วนก็บรรจุอวัยวะสำคัญ 4 อย่าง ด้วยกันคือ ตับ กระเพาะ ปอดและลำไส้ใหญ่ (ถ้าเป็นเครื่องในหมูฟังแล้วชวนให้หิวข้าว) และ แต่ละช่วงที่บรรจุ -เครื่องในเหล่านี้ มีน้ำยาที่เรียกว่าเนตรอน (Natron) อยู่ด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่าอวัยวะดังกล่าว 4 อย่างนี้ไม่มีหัวใจอยู่ด้วย เนื่องจากนักแต่ศพชาวอียิปต์ถือว่า ห้ามควักหัวใจ-ออกจากตัวศพ
ในตอนต้น ๆ ฝาครอบหรือฝาปิดของคาโนปิคทำเหมือนๆ กันหมด ต่อต่อมาฝาครอบเหล่านี้เริ่มมีการแกะสลักเป็นรูปของ “ผู้คุ้มครองทั้ง 4” ซึ่งได้แก่อิมเซตี้ (Imsety) แกะสลักเป็นรูปหัวคน เดวาอุเตฟ (Dewau-mautef) แกะสลักเป็นรูปหัวหมา ฮาปิ (Hapy) แกะสลักเป็นรูปหัวลิงและสุดท้ายเคเบห์สเนเวท (Kebehsnewet) แกะสลักเป็นรูปหัวเหยี่ยว (แต่ละห่านล้วนแต่ออกชื่อยาก ๆ ทั้งนั้น ขออภัยด้วย) ผู้ปกป้องทั้งสี่ก็ดูแลอวัยวะสำคัญแต่ละอย่างไป สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่คนเป็นทำให้คนตายในความเชื่อถือของอียิปต์โบราณก็คือ “คนใช้” เพราะคิดว่าถึงแม้คนตายจะมีเครื่องใช้ไม้สอยที่จัดทำไว้ให้แล้วมากมาย แต่ถ้าขาดคนรับใช้ชีวิตก็คงไม่สุขสบายเท่าที่ควร ดังนั้นในพิธีศพสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือจัดหาคนใช้ให้กับผู้จากไปด้วย ในตอนแรก ๆ ก็ใช้วิธีการวาดภาพเอาต่อมาก็จัดทำเป็นรูปปั้นซึ่งอาจจะทำด้วยดินเหนียว สีผึ้ง หรือแกะสลักด้วยไม้ ต่อมาในราวยุคราชวงศ์ที่ 12 แห่งอียิปต์โบราณ ตัวแทนที่จะส่งไปเป็นคนรับใช้ของผู้ตาย ก็ทำเป็นรูปมัมมี่ด้วย มีการพันด้วยผ้าลินินและบรรจุไว้ในหีบศพจำลองขนาดเล็ก ๆ รูปลักษณ์เหล่านี้มีชื่อเรียกว่า “ชาวับติ” (Chawabti) ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้ขานรับ” เพื่อที่ว่ายามใดที่ต้องการใช้เมื่อเรียกขึ้นมาแล้ว ผู้รับใช้นี้ก็จะขานรับคำสั่ง ชาววับติมักทำเป็นรูปมัมมี่บางทีมือทั้ง 2 ข้างประสานไว้ที่อกหรือบางทีก็ทำเป็นรูปเครื่องมือต่าง ๆ เช่น จอบ เสียม ตะกร้า ให้ถือเอาไว้และสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือคำจารึกคำสวดที่พอจะแปลได้ตามความหมายว่า
“โอ..ชาวับติเจ้าเอ๋ย ถ้านาย..(ออกชื่อคนตาย) เรียกใช้เจ้าเมื่อไรไม่ว่าจะให้ทำไร่ไถนา ทดน้ำขนส่งทราย เพื่อเห็นแก่พระเจ้าก็ขอให้เจ้าขานรับว่า..ข้าพร้อมที่จะทำแล้วขอรับ”
จากความเชื่อของชนชาวอียิปต์โบราณในเรื่องของชีวิตหลังความตายว่าวันหนึ่งชีวิตนั้นจะกลับคืนมา เป็นแรงบันดาลใจให้ชาวอียิปต์โบราณคิดค้นหาวิธีจะรักษาร่างกายเอาไว้เพื่อรอการกลับมาชีวิตอีกครั้งหนึ่ง และชาวอียิปต์โบราณทำได้ด้วยวิทยาการสมัยโบราณ ที่แม้คนสมัยนี้ซึ่งเวลาได้ล่วงเลยมาแล้วสี่พันปีก็ยังต้องทึ่ง และจากการศึกษาเราทราบว่า กว่ามัมมี่จะวิวัฒนาการจนถึงสูงสุดของมัน มันก็ต้องใช้เวลาในการทำเหมือนกัน และถึงแม้จนถึงขีดสูงสุดของมันก็ต้องใช้เวลาในการพัฒนาเหมือนกัน และถึงแม้จนถึงปัจจุบันนี้มัมมี่จากหลุมตลอดจนจากปิรามิดต่างๆในอียิปต์ไม่มีสักร่างเดียวที่จะฟื้นขึ้นมาเพื่อบอกความลับในยุคนี้กับนักวิทยาศาสตร์ของเรา จากเรือนร่างที่คงทนต่อสู้กับ -ความเน่าเปื่อยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ก็พอเพียงแล้ว นักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีของเราพยายามอ่าน ถึงประวัติศาสตร์ในยุคและเดี๋ยวนี้วิทยาการทางด้านการวิเคราะห์ด้วยแสงเอกซเรย์ ทั้งแบบธรรมดา และ axial tomography ถูกนำมาใช้ด้วย ก็ยิ่งทำให้เราศึกษาและรู้เรื่องราว ของชนชาติอียิปต์โบราณได้มากยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านโบราณคดีหรือ -นิเวศน์วิทยา เช่น จากการศึกษามัมมี่ของเซเคเนนเรที่ 2 ของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ (Erhard Metnel) โดยการใช้แสงเอกซเรย์พบว่า สมองของเซเคเนเรที่ 2 ได้รับบาดเจ็บจากรอยแผลที่เกิดขวาน ซึ่งตามประวัติศาสตร์ระบุว่าเขาบาดเจ็บจากสนามรบและพบต่อไปว่าแขนข้างหนึ่งของเขาเป็นอัมพาตไปซึ่งก็คงเนื่องจากบาดแผลที่สมอง แต่จากการวิเคราะห์ที่ละเอียดพบว่ามีบาดแผลที่เกิดจากหอกปรากฏอยู่ที่หลังใบหูซ้าย จึงช่วยสงสัยว่าเซเคเนนเรที่ 2 อาจถูกลอบสังหารทางข้างหลังก็ได้
นอกจากนี้การศึกษาด้วยแสงเอกซเรย์ทำให้เรารู้ว่าฟาโรห์แต่ละคนในอดีตมีสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง เช่น เราสามารถนึกถึงภาพว่าฟาโรห์ซิบตาห์ (Siphtah) คงจะไม่สามารถเสด็จไปไหนมาไหนด้วย ลำพังพระองค์เองหรือไม่ก็อาจจะต้องมีไม้เท้ายัน เพราะจากแสดงเอ็กเรย์พบว่าฟาโรห์ซิปตาห์เป็นโรคโปลิโอ หรือนึกถึงภาพของฟาโรห์ราเมเสสที่ 2 (Ramessesll) พระองค์ต้องเป็นคนที่แข็งแรงกระฉับกระเฉงเพราะตรวจพบว่าพระองค์มีเส้นโลหิตที่แข็งแรงมาก แถมฟันก็คงทนถาวร รับกับประวัติศาสตร์ที่ระบุว่าฟาโรห์ราเมเสสที่ 2 มีชีวิตยืนยาวถึง 90 ปีโดยสิ้นพระชนม์ในปี 1216 ก่อนคริสตศักราช
หรือจากการวิเคราะห์ซากมัมมี่นิรนามที่เรียกว่า PUM ll (มัมมี่ตัวที่ 2 ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย) พบว่ามัมมี่ตัวนี้เป็นโรคปอดซึ่งเกิดจากสารคาร์บอนและซิลิกาที่เกาะแน่นสะสมอยู่ ซึ่งก็พอจะเชื่อได้ว่าชาวอียิปต์โบราณคงจะเป็นโรคปอดกันมากอันเนื่องมาจากต้องสูดหายใจเอาละอองทรายและเศษผงของหินเข้าปอดเป็นประจำส่วนคาร์บอนที่ค้นพบในปอด ก็สันนิษฐานว่ามาจากควันของการก่อกองไฟ และจากควันของตะเกียงน้ำมัน
ใน PUM ll ยังค้นพบไข่ของพยาธิตัวกลมอีกด้วย (บางท่านอาจจะสงสัยว่าไข่ของพยาธิทำไมถึงอยู่อึดนักทนอยู่ได้เป็นเวลาตั้งหลายพันปี ทั้งนี้เนื่องมาจากยางที่สัปเหร่อปัญญาชนใช้ในการรักษาศพมัมมี่มีผลทำให้ไข่ของพยาธิเหล่านี้ถูกรักษาเอาไว้ได้ด้วย) ซึ่งพยาธิตัวกลมนี้เป็นพยาธิที่พบได้ทั่วไปในประเทศร้อนซึ่งมีลักษณะดินชื้น และไข่ของมันแพร่หลายได้ดีโดยติดไปกับอุจจาระ แสดงว่าสุขาภิบาลในยุคของอียิปต์โบราณก็ยังไม่ดีนัก
นอกจากนี้การใช้เทคนิคของแสงเอกซเรย์ ยังเป็นการช่วยลำดับญาติโกโหติกาของฟาโรห์ในประวัติศาสตร์อีกด้วย อย่างเช่นจากการวิเคราะห์ของอาจารย์เจมส์ อี. แฮร์ริส (James E. Harris) แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนด้วยการใช้เทคนิคการฉายแสงเอกซเรย์เพื่อถ่ายภาพของกะโหลกศีรษะในรูปของ 3 มิติพบว่ามัมมี่ตัวหนึ่งที่ขุดพบในหลุมฝังศพของฟาโรห์อมุนโฮเตปที่ 2 (Amunhotep ll ) ซึ่งเดิมทีไม่ทราบว่าเป็นมัมมี่ของใคร จากการวิเคราะห์นี้เขาลงความเห็นว่ามัมมี่นี้คือราชินีไทย (Tiye) ก็คือพระชายาของฟาโรห์อมุนโฮเตปที่ 2 เนื่องจากมีการเปรียบเทียบโครงสร้างของกะโหลกศีรษะของพระนางกับพ่อแม่ และเมื่อยิ่งมีการวิเคราะห์สารเคมี ในเส้นผมเปรียบเทียบกับเส้นผมที่เก็บไว้ในล็อคเกตซึ่งฝังไว้ในหลุมศพของตุตันคามัน (Tutankhamun) พระญาติของเธอด้วยแล้ว ยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่
มัมมี่ในสุสานแห่งอียิปต์โบราณไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับนักโบราณคดีเท่านั้น แต่ยังเป็นยอดสนใจของเหล่ามิจฉาชีพที่ต้องการจะค้นหาสมบัติจากมัมมี่และสุสานที่ฝังอีกด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือพวกเหล่านี้หากินกับผีทั้ง ๆ ที่สถานที่เหล่านั้นวังเวง ลึกลับ น่าสะพรึงกลัว แต่ความโลภซะอย่างสามารถทำอะไรต่อมิอะไรก็ได้ แม้แต่จะเลื่อยเศียรพระพุทธรูปแบบที่เราเคยเห็นมาแล้วหลายรายโดยไม่เกรงกลัวต่อบาปต่อกรรม
ที่มา http://school.obec.go.th/nkwy/tiplearn/old/pages/mummi.htm
แม้จะมีการศึกษาเรื่องราวของมัมมี่มาเป็นเวลานานแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันนี้การศึกษาความลับของมัมมี่ก็ยังคงกระทำอยู่ เพราะวิทยาการที่สูงขื้น เครื่องไม้เครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพขึ้น ยิ่งทำให้สามารถเจาะลึกเข้าไปสู่ความลับในประวัติศาสตร์นี้ได้มากขึ้น เราสามารถเห็นนักวิทยาศาสตร์ และนักโบราณคดีเป็นจำนวนมากก้มหน้าก้มตาศึกษา -เรื่องราวของมัมมี่อย่างจริงจัง เช่น ที่โรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ที่พิพิธภัณฑ์ศูนย์วิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งโบราณคดี ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย หรือว่า ที่สถาบัน -ศิลปศาสตร์แห่งเมืองดิทรอยท์ เป็นต้น การศึกษานอกจากจะใช้วิธีผ่าศพมัมมี่โดยตรงก็ยังมีการนำเอาระบบการถ่ายภาพจากแสงเอกซเรย์ 3 มิติ ที่เรียกว่า “Computerized Axial Tomography (CAT)“ มาใช้ซึ่งนอกจากจะไม่ต้องทำลายมัมมี่ที่ใช้ศึกษาอยู่แล้ว ยังสามารถให้รายละเอียดได้อย่างชัดเจนด้วย
จากความเชื่อของมนุษย์นับเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปีมาแล้ว เกี่ยวกับเรื่องของร่างกาย และวิญญาณ โดยที่เชื่อว่าการตายก็คือการที่วิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างที่เคยอาศัยอยู่ ความเชื่อถือของชาวอียิปต์โบราณ คิดว่าวิญญาณที่ได้หลุดลอยออกจากร่างเมื่อถึงเวลาหนึ่งได้เข้าไปสู่โลกอีกโลกหนึ่งซึ่งอาจจะเรียกว่า “โลกของพระเจ้า” และในวันหนึ่งข้างหน้าวิญญาณนั้นก็จะกลับมา ข้อสำคัญเมื่อวิญญาณกลับมาแล้วก็ต้องอาศัยร่างกายอยู่ และร่างกายที่จะอาศัยอยู่ได้ก็คงจะต้องเป็นร่างกายของตนเองซึ่งครั้งหนึ่งตนได้เคยอาศัยอยู่แล้ว จากความเชื่อถือนี้ การรักษาร่างกายให้คงสภาพไว้เพื่อรอการกลับมาของเจ้าของเดิมจึงเป็นสิ่งที่ชาวอียิปต์โบราณหาวิธีการทีจะทำให้ได้
ทุกสิ่งมีวิวัฒนาการ มัมมี่ก็เช่นกันในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณร่างกายของคนตายได้ถูกห่อไว้ด้วยผ้าหรือเสื่ออย่างลวก ๆ และถูกฝังไว้ในหลุมแคบ ๆ ภายใต้พื้นทรายลึกลงไปไม่กี่ฟุต หลุมที่ฝังก็อาจจะขุดกันอย่างหยาบ ๆ อาจจะมีการก่ออิฐหรือปูด้วย ไม้กระดานบ้าง แต่ก็ไม่มีศิลปะอะไร การฝังศพแบบนี้ชาวอียิปต์ในยุคนั้นก็ได้พบ-ความจริงข้อหนึ่งว่า ภายใต้ความร้อนระอุของพื้นทรายที่ถูกแสงแดดอันแรงกล้าเผาอยู่ตลอดเวลาศพภายในหลุมหยาบ ๆ นั้นมีสภาพเหมือนถูกอบหรือตากแห้ง และมีผลทำให้ศพนั้น ยังคงสภาพอยู่ได้เป็นเวลานาน การที่ศพไม่เน่าเปื่อยและจากความคิดความเชื่อถือที่ว่าวันหนึ่งวิญญาณที่จากไปก็จะกลับคืนมาอีก ญาติพี่น้องก็เลยกลัวว่าถ้าศพฟื้นขึ้นมาเมี่อไรก็อาจจะกลายเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกไปก็ได้ ก็เลยฝังพวกหม้อข้าวหม้อแกง เพชรพลอยหรือแม้แต่เครื่องใช้เครื่องมือในการทำมาหากินเอาไว้ให้ด้วย
เมื่อนานวันเข้า ความตายเป็นสิ่งมนุษย์เริ่มพิถีพิถันกันกับมัน พิธีรีตองเกี่ยวกับคนตายก็ชักจะมีมากขึ้นหลุมฝังศพชนิดที่ว่าสักแต่ขุดให้มันเป็นรูปเป็นโพรงก็ชักจะไม่เข้าทีเสียแล้ว หลุมศพจึงเริ่มพัฒนาตัวมันเอง เริ่มจากการที่ต้องขุดอย่างมีศิลปะ มีการก่ออิฐทำผนังหลุม และก็พยายามจัดทำให้เหมือนกับเป็นห้องๆ หนึ่ง และเพื่อให้คนตายได้นอนอย่างสบาย ๆ เหยียดแข้งเหยียดขาได้เต็มที่แทนที่จะต้องถูกมัดให้คุดคู้อยู่ในหลุมรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งผู้ตายพูดได้ก็คงจะบ่นว่าอึดอัดเหลือทน หลุมที่ฝังก็เลยแปรเปลี่ยนมาเป็นลักษณะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ศพเลยสามารถที่จะเหยียดร่างได้เต็มที่ ไม่จบเพียงแค่นั้น เพื่อให้คนตายมีความรู้สึกว่าอาศัยอยู่ในบ้านจริง เหนือหลุมฝังศพก็เลยต้องก่อสร้างให้รูป -ทรงคล้ายกับบ้าน มีหลังคามีฝาผนังทำนองนั้น ที่มีฐานะหน่อยก็อาจจะสร้างให้คล้ายๆ กับวังไปเลย เมื่อหลุมศพถูกวิวัฒนาการมาเป็นอย่างนั้น ศพที่เคยถูก “อบแห้ง” โดยธรรมชาติภายใต้ผิวทรายร้อน ๆ ก็เลยเป็นอันว่าจบกัน ปัญหาเรื่องศพเน่าเปื่อยก็เลยตามมา
ในยุคของราชวงศ์อียิปต์แรก ๆ (ก็ราวๆ เกือบ 3000 ปีก่อนคริสตศักราช) ศพจะถูกห่อ และมัดอย่างแน่นหนาด้วยผ้าลินินซึ่งอาบน้ำยา ศพถูกห่อไว้ด้วยผ้าหนามากจนแลดูกลมกะลุกปุ๊ก ถ้าจะเรียกว่ามัมมี่ก็คงเป็นมัมมี่ตุ๊ต๊ะ
ล่วงเลยมาจนถึงราชวงศ์ที่สองแห่งอียิปต์ (ประมาณ 2800 ปีก่อนคริสตศักราช) ความพยายามที่จะแต่งตัวให้มัมมี่ดูหล่อขึ้นก็เริ่มกันตอนนี้ มีการห่อศพด้วยผ้าลินินชุบน้ำยาอย่างพิถีพิถัน การห่อก็ไม่ใช่สักแต่ว่าห่อ ๆ ไป มีการพัวหัวพันขาแขน หรือพันรอบหน้าอก หน้าท้องเป็นส่วน ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือพันให้เห็นเป็นรูปทรงของคนไม่ใช่พันแบบให้ต้องเดาว่าภายในห่อผ้านั้นเป็นหมูหรือเป็นคน แม้แต่นิ้วมือนิ้วเท้าก็พยายามพันเน้นให้เห็นนิ้วทั้ง 5 (จะได้ไม่เข้าใจผิดว่าก่อนตายอ้ายหมอนี่นิ้วด้วนหรือเปล่า)
ความพยายามของการศึกษาของนักแต่งศพชาวอียิปต์ ค้นพบว่าสาเหตุของการเน่าเปื่อยของศพ อวัยวะภายในมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาก ดังนั้นการทำความสะอาดภายใน จึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ศพถูกรักษาให้คงทนได้ยาวนานขึ้น ดังนั้นในปลายราชวงศ์ที่สามแห่งอียิปต์โบราณ (ราว 2600 ปีก่อนคริสตศักราช) การล้วงตับล้วงไส้ ของศพ-ออกมาจึงเป็นกรรมวิธีสำคัญของนักแต่งศพชาวอียิปต์
ในหลุมฝังศพของราชินีที่สี่แห่งราชวงศ์อียิปต์โบราณ พระนาม “ราชินีเฮเตเฟเรส” (Hetepheres) ซึ่งเป็นพระชายาแห่งสเนฟรู (Snefru) หรือว่าเป็นพระชนนีของกษัตริย์คืออปส์ ได้มีการค้นพบภาชนะหินปูน ซึ่งภายในบรรจุอวัยวะภายในของราชินี แช่ไว้ด้วยของเหลวที่เรียกว่าเนตรอน (Natron) ซึ่งเป็นสารละลายของโซดาชนิดหนึ่ง เป็นที่น่าทึ่งที่ว่าภาชนะนี้มีการปิดผนึกอย่างดีจนของเหลวดังกล่าว อยู่ในนั้นได้เป็นเวลา 4000 ปี “ดอง” เครื่องในของพระราชินีให้คงสภาพไว้ได้อย่างนานแสนนาน
ในช่วงประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 4-5 (2570-2450 ปีก่อนคริสตศักราช) เทคนิคของการทำมัมมี่ได้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ อย่างมัมมี่ของเพตริค (Peric) ซึ่งค้นพบโดยนักอียิปต์วิทยาชาวอังกฤษชื่อ วิลเลี่ยม เอ็ม เอฟ เพตริค (William M.F.Petric) แสดงให้เห็นถึงเทคนิคของการทำมัมมี่ในยุคของราชวงศ์ที่ 5 ศพจะถูกพันมัดด้วยแถบผ้าลินินอย่างประณีต มีการแสดงถึงรูปลักษณะภายนอกด้วยยางสนชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความคงทนถาวรมาก ขนาดคิ้ว หรือหนวดของผู้ตายก็ยังแสดงออกให้เห็น สภาพมัมมี่อยู่ในลักษณะเหยียดตรงเต็มส่วนสูง อวัยวะภายในถูกคว้านออก มีการทำความสะอาดแล้วอัดให้แน่นด้วยก้อนผ้าลินินอาบน้ำยา เทคนิคต่างๆ ที่ใช้ก็มีผลในการรักษาอวัยวะทุกส่วนในร่างกายให้คงสภาพอยู่ได้อย่างถาวร แม้แต่รูปลักษณ์ที่ปรากฏภายนอกก็พยายามจัดทำให้คงสภาพไว้ (มัมมี่ของเพตริคนี้ได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่วิทยาลัยศัลกรรมหลวงในกรุงลอนดอน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าถูกทำลายไปในสงครามโลกคราวที่กรุงลอนดอนถูกโจมตีทางอากาศในปี ค.ศ. 1941)
หลักฐานมัมมี่มีอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงถึงความเจริญของวิชาการด้านนี้ในยุคราชวงศ์ที่ 5 ค้นพบโดยนักอียิปต์วิทยาชาวอเมริกันชื่อ ยอร์ช เอ ไรส์เนอร์ ซึ่งขุดเจอที่ปิรามิดแห่งกิซา จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่ามัมมี่ที่พบนี้เป็นศพของเยนตี้ (Yenty) อัครมหาเสนาบดีในยุคนั้น มัมมี่ได้ถูกประจุไว้ในโลงศพที่ทำด้วยหินแกรนิต ถึงแม้ว่าสภาพของมัมมี่จะถูกทำลายไปโดยฝีมือของคนร้ายที่ทำมาหากินกับการขุดสมบัติในสุสานของอียิปต์โบราณ แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยของเทคนิคชั้นสูงในการทำมัมมี่ให้เห็นอยู่ โดยเฉพาะเค้าหน้าของมัมมี่ถูกรักษาไว้ให้อยู่ในสภาพเดิมได้อย่างน่าทึ่ง
ที่นี้ก็มาถึงยุคราชวงศ์ที่ 6 บ้าง (ราวปี 2340 ก่อนคริสตศักราช) เริ่มมีการใช้ปูนปลาสเตอร์ฉาบหน้าหรือศีรษะบางทีก็พอกมัมมี่ทั้งตัว ใบหน้าที่พอกฉาบด้วยปลาสเตอร์มีการรเขียนและตกแต่งเป็นรูปใบหน้าอย่างสวยงาม หลังจากพอกหนัก ๆ เข้า สัปเหร่อปัญญาชนก็เลยมองเห็นลู่ทางอื่นในการตกแต่งใบหน้าของมัมมี่ ด้วยการทำเป็นหน้ากากสวม หน้ากากที่ว่านี้ทำด้วยสารคาร์ตันเนจ (Cartonnege) ซึ่งเป็นส่วนผสมของกระดาษปาปีรับ (Papyrus) ผ้า และปลาสเตอร์รวมกัน หน้ากากที่ทำนี้มีน้ำหนัก แข็งแรง และความคงทนมากกว่า รวมทั้งสามารถตกแต่งให้สวยงามได้ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าสมัยนั้นจะมีการทำหน้ากากคาร์ตันเนจออกขายหรือเปล่า ใครตายแล้วอยากจะสวมหน้ากากแบบไหนจะได้หาซื้อไว้ ภายหลังไม่ใช่แต่เฉพาะศีรษะหรือใบหน้าเท่านั้นที่ปกปิดไว้ด้วยหน้ากากคาร์ตันเนจ เทคนิคนี้ลามลงไปจนถึงปิดไปทั่วตัวและนี่คือที่มาของโลงศพรูปคน เทคนิคของมัมมี่ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในช่วงราว 2050-1990 ก่อนคริสตศักราช หรือที่เรียกว่าเป็นช่วงอาณาจักรยุคกลางของอียิปต์โบราณ
จวบจนถึงยุคอาณาจักรของพระเจ้าทีบส์ (Thebes) ในราว 1550 ปีก่อนคริสตศักราช เทคนิคของมัมมี่พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด นอกจากอวัยวะการภายในจะถูกนำออกมาแล้ว จัดกลับเข้าไปด้วยผ้าอาบน้ำยายังมีการดูดมันสมองออกจากกะโหลกอีกด้วย เทคนิคของการใช้สารเคมีต่าง ๆ มีมากขึ้น สารเคมีบางอย่างถูกฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อที่จะรักษาสภาพของผิวหนังให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลอยู่ได้นาน ๆ
จากการฝังศพลงไปในหลุมที่ขุดอย่างหยาบ ๆ ภายใต้พื้นทรายอันร้อนระอุค่อยเปลี่ยนแปลงมาเป็นหลุมที่มีการตกแต่งผนังให้ดูเรียบร้อยเหนือหลุมฝังศพก็มีการก่อสร้างจำลองเป็นรูปบ้าน ลักษณะของหลุมศพในยุคอียิปต์ต้น ๆ ค่อนข้างเล็ก ซึ่งคิดว่าศพคงต้องนอนคุดคู้อยู่ภายใน ต่อมาก็จึงเปลี่ยนมาเป็นหลุมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งกว้างยาวพอที่ศพจะนอนเหยียดได้อย่างเต็มที่ ต่อมาศพก็ค่อยเลื่อนขั้นขึ้น มีการบรรจุลงในหีบศพซึ่งมีทั้งหีบไม้ หินปูน จนถึงหินแข็งอย่างหินแกรนิต
ความคิดของชาวอียิปต์ ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ จากหีบศพที่เรียบ ๆ เริ่มมีการตกแต่งจัดทำรอบ ๆ หีบศพให้ดูมีลักษณะเหมือนพระราชวัง บวกกับความเชื่อถือทางศาสนา หีบศพบางอันจึงมีการเขียนรูปดวงดาวคู่หนึ่งไว้ด้วย ด้วยเกรงว่าเจ้าของหีบศพไม่สามารถทัศนาโลกภายนอกอันสดใสได้ ภายหลังหีบศพไม่เพียงแต่แกะสลักหรือวาดรูปแต่เฉพาะภายนอก แม้แต่ภายในก็มีการตกแต่งประดับประดาด้วยคงจะคิดว่าบ้านจะน่าอยู่ไม่ใช่แต่จะแต่งเฉพาะภายนอก ภายในก็ต้องหรูด้วย และสิ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คือ คำจารึกเหนือ -หีบศพ เป็นคำสวดอ้อนวอนขอให้พระเจ้าได้ช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ที่อยู่ในหลุมนั้นด้วย
แน่นอน ถ้าหีบศพเปรียบเสมือนบ้านก็คงจะมีแต่ตัวบ้านเฉย ๆ ไม่ได้ ก็มีการวาดภาพเครื่องใช้ เสื้อผ้า เครื่องมือ เฟอร์นิเจอร์ ตลอดจนอาวุธที่ใช้ป้องกันตัวบนแผ่นหินข้างหีบศพด้วย ทั้งนี้เพื่อเอาไว้ให้ผู้ตายได้ใช้สอย
จะเห็นว่าความคิดทีจะจัดเตรียมของใช้ต่าง ๆ ไว้ให้สำหรับคนตาย ยังมีอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ในพิธีกงเต๊กของคนจีน บรรดาเครื่องใช้ไม้สอยที่ทำด้วยกระดาษถูกเผาในพิธีเพื่อจัดส่งให้คนตายนำไปใช้ในภพหน้า และก้าวหน้าจนถึงขั้นในปัจจุบันนี้สิ่งที่เผาส่งไปให้นอกจากบ้านพร้อมที่ดิน แล้วยังมีรถคันใหญ่ ๆ (บางทีก็ระบุยี่ห้อเบนซ์หรือวอลโว่ลงไปด้วย) ที.วี. สีตลอดจนตู้เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า คิดว่าในอนาคตข้างหน้าโรงไฟฟ้าในเมืองผีมีหวังต้องขยายโรงงานแน่ และน้ำมันก็คงจะต้องขึ้นราคาเพราะใช้รถกันเยอะ
ต่อมาหีบศพก็เริ่มเปลี่ยนแปลงมาทำจำลองเป็นรูปคน มีการแกะสลักหน้าตาอวัยวะต่าง ๆ ส่วนใหญ่มักจะทำเป็นรูปคนยืนเหยียดตรง มือทั้งสองผสานไว้ที่หน้าอก หีบศพรูปคนเหล่านี้เก็บไว้ภายในหลุมฝังศพที่ก่อสร้างเป็นรูปอาคารอีกทีหนึ่งบางทีอาจมีหลาย ๆ หีบรวมอยู่ในหลุมเดียวกันก็ได้
ภายหลังเมื่อมีการคว้านเอาอวัยวะภายในของศพก่อนจะทำเป็นมัมมี่ อวัยวะเหล่านี้ก็ต้องถูกเก็บรักษาด้วย จึงจะต้องมีการจัดทำภาชนะเพื่อที่จะเก็บอวัยวะเครื่องในเหล่านี้ ภาชนะพวกนี้มีชื่อเฉพาะเรียกว่า คาโนปิค (Canopic) มาจากชื่อของคาโนปัส (Canopus) นักรบแห่งเมนาเลียส (Menaleus) ซึ่งศพของเขาถูกเก็บไว้ในภาชนะรูปทรงคล้ายตุ่ม (คือป่องกลาง) มีฝาครอบทำเป็นรูปหัวคน ด้วยเหตุนี้คาโนปิคจึงมีลักษณะคล้ายตุ่มมีฝาครอบ แต่มีทั้งหมด 4 ฝาด้วยกัน เนื่องจากตัวภาชนะบรรจุเครื่องในเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วนก็บรรจุอวัยวะสำคัญ 4 อย่าง ด้วยกันคือ ตับ กระเพาะ ปอดและลำไส้ใหญ่ (ถ้าเป็นเครื่องในหมูฟังแล้วชวนให้หิวข้าว) และ แต่ละช่วงที่บรรจุ -เครื่องในเหล่านี้ มีน้ำยาที่เรียกว่าเนตรอน (Natron) อยู่ด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่าอวัยวะดังกล่าว 4 อย่างนี้ไม่มีหัวใจอยู่ด้วย เนื่องจากนักแต่ศพชาวอียิปต์ถือว่า ห้ามควักหัวใจ-ออกจากตัวศพ
ในตอนต้น ๆ ฝาครอบหรือฝาปิดของคาโนปิคทำเหมือนๆ กันหมด ต่อต่อมาฝาครอบเหล่านี้เริ่มมีการแกะสลักเป็นรูปของ “ผู้คุ้มครองทั้ง 4” ซึ่งได้แก่อิมเซตี้ (Imsety) แกะสลักเป็นรูปหัวคน เดวาอุเตฟ (Dewau-mautef) แกะสลักเป็นรูปหัวหมา ฮาปิ (Hapy) แกะสลักเป็นรูปหัวลิงและสุดท้ายเคเบห์สเนเวท (Kebehsnewet) แกะสลักเป็นรูปหัวเหยี่ยว (แต่ละห่านล้วนแต่ออกชื่อยาก ๆ ทั้งนั้น ขออภัยด้วย) ผู้ปกป้องทั้งสี่ก็ดูแลอวัยวะสำคัญแต่ละอย่างไป สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่คนเป็นทำให้คนตายในความเชื่อถือของอียิปต์โบราณก็คือ “คนใช้” เพราะคิดว่าถึงแม้คนตายจะมีเครื่องใช้ไม้สอยที่จัดทำไว้ให้แล้วมากมาย แต่ถ้าขาดคนรับใช้ชีวิตก็คงไม่สุขสบายเท่าที่ควร ดังนั้นในพิธีศพสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือจัดหาคนใช้ให้กับผู้จากไปด้วย ในตอนแรก ๆ ก็ใช้วิธีการวาดภาพเอาต่อมาก็จัดทำเป็นรูปปั้นซึ่งอาจจะทำด้วยดินเหนียว สีผึ้ง หรือแกะสลักด้วยไม้ ต่อมาในราวยุคราชวงศ์ที่ 12 แห่งอียิปต์โบราณ ตัวแทนที่จะส่งไปเป็นคนรับใช้ของผู้ตาย ก็ทำเป็นรูปมัมมี่ด้วย มีการพันด้วยผ้าลินินและบรรจุไว้ในหีบศพจำลองขนาดเล็ก ๆ รูปลักษณ์เหล่านี้มีชื่อเรียกว่า “ชาวับติ” (Chawabti) ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้ขานรับ” เพื่อที่ว่ายามใดที่ต้องการใช้เมื่อเรียกขึ้นมาแล้ว ผู้รับใช้นี้ก็จะขานรับคำสั่ง ชาววับติมักทำเป็นรูปมัมมี่บางทีมือทั้ง 2 ข้างประสานไว้ที่อกหรือบางทีก็ทำเป็นรูปเครื่องมือต่าง ๆ เช่น จอบ เสียม ตะกร้า ให้ถือเอาไว้และสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือคำจารึกคำสวดที่พอจะแปลได้ตามความหมายว่า
“โอ..ชาวับติเจ้าเอ๋ย ถ้านาย..(ออกชื่อคนตาย) เรียกใช้เจ้าเมื่อไรไม่ว่าจะให้ทำไร่ไถนา ทดน้ำขนส่งทราย เพื่อเห็นแก่พระเจ้าก็ขอให้เจ้าขานรับว่า..ข้าพร้อมที่จะทำแล้วขอรับ”
จากความเชื่อของชนชาวอียิปต์โบราณในเรื่องของชีวิตหลังความตายว่าวันหนึ่งชีวิตนั้นจะกลับคืนมา เป็นแรงบันดาลใจให้ชาวอียิปต์โบราณคิดค้นหาวิธีจะรักษาร่างกายเอาไว้เพื่อรอการกลับมาชีวิตอีกครั้งหนึ่ง และชาวอียิปต์โบราณทำได้ด้วยวิทยาการสมัยโบราณ ที่แม้คนสมัยนี้ซึ่งเวลาได้ล่วงเลยมาแล้วสี่พันปีก็ยังต้องทึ่ง และจากการศึกษาเราทราบว่า กว่ามัมมี่จะวิวัฒนาการจนถึงสูงสุดของมัน มันก็ต้องใช้เวลาในการทำเหมือนกัน และถึงแม้จนถึงขีดสูงสุดของมันก็ต้องใช้เวลาในการพัฒนาเหมือนกัน และถึงแม้จนถึงปัจจุบันนี้มัมมี่จากหลุมตลอดจนจากปิรามิดต่างๆในอียิปต์ไม่มีสักร่างเดียวที่จะฟื้นขึ้นมาเพื่อบอกความลับในยุคนี้กับนักวิทยาศาสตร์ของเรา จากเรือนร่างที่คงทนต่อสู้กับ -ความเน่าเปื่อยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ก็พอเพียงแล้ว นักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีของเราพยายามอ่าน ถึงประวัติศาสตร์ในยุคและเดี๋ยวนี้วิทยาการทางด้านการวิเคราะห์ด้วยแสงเอกซเรย์ ทั้งแบบธรรมดา และ axial tomography ถูกนำมาใช้ด้วย ก็ยิ่งทำให้เราศึกษาและรู้เรื่องราว ของชนชาติอียิปต์โบราณได้มากยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านโบราณคดีหรือ -นิเวศน์วิทยา เช่น จากการศึกษามัมมี่ของเซเคเนนเรที่ 2 ของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ (Erhard Metnel) โดยการใช้แสงเอกซเรย์พบว่า สมองของเซเคเนเรที่ 2 ได้รับบาดเจ็บจากรอยแผลที่เกิดขวาน ซึ่งตามประวัติศาสตร์ระบุว่าเขาบาดเจ็บจากสนามรบและพบต่อไปว่าแขนข้างหนึ่งของเขาเป็นอัมพาตไปซึ่งก็คงเนื่องจากบาดแผลที่สมอง แต่จากการวิเคราะห์ที่ละเอียดพบว่ามีบาดแผลที่เกิดจากหอกปรากฏอยู่ที่หลังใบหูซ้าย จึงช่วยสงสัยว่าเซเคเนนเรที่ 2 อาจถูกลอบสังหารทางข้างหลังก็ได้
นอกจากนี้การศึกษาด้วยแสงเอกซเรย์ทำให้เรารู้ว่าฟาโรห์แต่ละคนในอดีตมีสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง เช่น เราสามารถนึกถึงภาพว่าฟาโรห์ซิบตาห์ (Siphtah) คงจะไม่สามารถเสด็จไปไหนมาไหนด้วย ลำพังพระองค์เองหรือไม่ก็อาจจะต้องมีไม้เท้ายัน เพราะจากแสดงเอ็กเรย์พบว่าฟาโรห์ซิปตาห์เป็นโรคโปลิโอ หรือนึกถึงภาพของฟาโรห์ราเมเสสที่ 2 (Ramessesll) พระองค์ต้องเป็นคนที่แข็งแรงกระฉับกระเฉงเพราะตรวจพบว่าพระองค์มีเส้นโลหิตที่แข็งแรงมาก แถมฟันก็คงทนถาวร รับกับประวัติศาสตร์ที่ระบุว่าฟาโรห์ราเมเสสที่ 2 มีชีวิตยืนยาวถึง 90 ปีโดยสิ้นพระชนม์ในปี 1216 ก่อนคริสตศักราช
หรือจากการวิเคราะห์ซากมัมมี่นิรนามที่เรียกว่า PUM ll (มัมมี่ตัวที่ 2 ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย) พบว่ามัมมี่ตัวนี้เป็นโรคปอดซึ่งเกิดจากสารคาร์บอนและซิลิกาที่เกาะแน่นสะสมอยู่ ซึ่งก็พอจะเชื่อได้ว่าชาวอียิปต์โบราณคงจะเป็นโรคปอดกันมากอันเนื่องมาจากต้องสูดหายใจเอาละอองทรายและเศษผงของหินเข้าปอดเป็นประจำส่วนคาร์บอนที่ค้นพบในปอด ก็สันนิษฐานว่ามาจากควันของการก่อกองไฟ และจากควันของตะเกียงน้ำมัน
ใน PUM ll ยังค้นพบไข่ของพยาธิตัวกลมอีกด้วย (บางท่านอาจจะสงสัยว่าไข่ของพยาธิทำไมถึงอยู่อึดนักทนอยู่ได้เป็นเวลาตั้งหลายพันปี ทั้งนี้เนื่องมาจากยางที่สัปเหร่อปัญญาชนใช้ในการรักษาศพมัมมี่มีผลทำให้ไข่ของพยาธิเหล่านี้ถูกรักษาเอาไว้ได้ด้วย) ซึ่งพยาธิตัวกลมนี้เป็นพยาธิที่พบได้ทั่วไปในประเทศร้อนซึ่งมีลักษณะดินชื้น และไข่ของมันแพร่หลายได้ดีโดยติดไปกับอุจจาระ แสดงว่าสุขาภิบาลในยุคของอียิปต์โบราณก็ยังไม่ดีนัก
นอกจากนี้การใช้เทคนิคของแสงเอกซเรย์ ยังเป็นการช่วยลำดับญาติโกโหติกาของฟาโรห์ในประวัติศาสตร์อีกด้วย อย่างเช่นจากการวิเคราะห์ของอาจารย์เจมส์ อี. แฮร์ริส (James E. Harris) แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนด้วยการใช้เทคนิคการฉายแสงเอกซเรย์เพื่อถ่ายภาพของกะโหลกศีรษะในรูปของ 3 มิติพบว่ามัมมี่ตัวหนึ่งที่ขุดพบในหลุมฝังศพของฟาโรห์อมุนโฮเตปที่ 2 (Amunhotep ll ) ซึ่งเดิมทีไม่ทราบว่าเป็นมัมมี่ของใคร จากการวิเคราะห์นี้เขาลงความเห็นว่ามัมมี่นี้คือราชินีไทย (Tiye) ก็คือพระชายาของฟาโรห์อมุนโฮเตปที่ 2 เนื่องจากมีการเปรียบเทียบโครงสร้างของกะโหลกศีรษะของพระนางกับพ่อแม่ และเมื่อยิ่งมีการวิเคราะห์สารเคมี ในเส้นผมเปรียบเทียบกับเส้นผมที่เก็บไว้ในล็อคเกตซึ่งฝังไว้ในหลุมศพของตุตันคามัน (Tutankhamun) พระญาติของเธอด้วยแล้ว ยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่
มัมมี่ในสุสานแห่งอียิปต์โบราณไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับนักโบราณคดีเท่านั้น แต่ยังเป็นยอดสนใจของเหล่ามิจฉาชีพที่ต้องการจะค้นหาสมบัติจากมัมมี่และสุสานที่ฝังอีกด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือพวกเหล่านี้หากินกับผีทั้ง ๆ ที่สถานที่เหล่านั้นวังเวง ลึกลับ น่าสะพรึงกลัว แต่ความโลภซะอย่างสามารถทำอะไรต่อมิอะไรก็ได้ แม้แต่จะเลื่อยเศียรพระพุทธรูปแบบที่เราเคยเห็นมาแล้วหลายรายโดยไม่เกรงกลัวต่อบาปต่อกรรม
ที่มา http://school.obec.go.th/nkwy/tiplearn/old/pages/mummi.htm
ก่อนจะเริ่มเป็นหนุ่ม - เป็นสาว วัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างนะ มาดูกัน
ก่อนจะเริ่มเป็นหนุ่มการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โนมเพศในร่างกาย ในช่วงต่อระหว่างเด็กมาเป็นวัยรุ่น จะมีผลทำให้เกิดความชัดเจนของการแสดงออกทางร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง เสียงหรือลักษณะท่าทาง ในเด็กผู้ชายจะเริ่มเมื่ออายุ 12-13 ปีเป็นต้นไป ซึ่งยังมีความแตกต่างกันระหว่างเชื้อชาติด้วย
มีการศึกษาวิจัยในประเทศไทยพบว่าในอดีตเด็กผู้ชายจะเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม เมื่ออายุราว 14-15 ปี แต่ปัจจุบันตัวเลขได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอายุน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะมีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อม กรรมพันธุ์ และการมีโภชนาการที่ดีขึ้น เด็กที่มีโรคภัยไข้เจ็บบ่อยๆ หรือเด็กที่ขาดอาหารก็จะเริ่มแตกเนื้อหนุ่มช้ากว่าเพื่อนคนอื่น การผิดแผกแตกต่างจากเพื่อนในเรื่องรูปร่าง บางครั้งก็ทำให้เกิดปํญหาในด้านจิตใจได้ พ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูควรให้ความรู้ที่ถูกต้อง ให้กำลังใจ และให้ความมั่นใจแก่เด็กว่า สิ่งที่ตัวเขาไม่เหมือนเพื่อน อาจเป็นแค่ชั่วคราว หรือถ้าเป็นผลของกรรมพันธุ์ ก็ควรอธิบายว่าคนเราเกิดมาคงต้องวัดกันที่ความรู้ความสามารถ การทำงานให้ประสพความสำเร็จ การเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่ใช่ดูจากลักษณะภายนอก
สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับวัยหนุ่ม
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงต่อไปนี้เป็นตัวเลขคร่าวๆ ของสถิติในต่างประเทศเท่านั้น
ความสูง เห็นได้ชัดเจนเมื่ออายุ 12-13 ปี และจะลดน้อยลงเมื่ออายุ 17-18 ปี ถ้าอายุ 15 ปีแล้วเด็กสูงขึ้นไม่ชัดเจน ควรปรึกษาแพทย์
อวัยวะเพศซึ่งรวมทั้งลูกอัณฑะด้วย จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอายุ 12-13 ปี และเปลี่ยนแปลง น้อยลง เมื่ออายุ 15-17 ปี เด็กผู้ชายจะสามารถหลั่งน้ำอสุจิหรือฝันเปียกได้เมื่ออายุ 12-13 ปี
ขนตามร่างกายได้แก่ ขนบริเวณอวัยวะเพศเริ่มมีตอนอายุ 11-12 ปี ส่วนขนรักแร้เริ่มมีตอนอายุ 13-15 ปี
ต่อมเหงื่อที่รักแร้และขาหนีบ เริ่มมีมากขึ้นเมื่ออายุ 13-15 ปี ทำให้เริ่มมีกลิ่นบริเวณรักแร้
เสียงแตก เนื่องจากกล่องเสียงใหญ่ขึ้นเมื่ออายุ 13-14 ปี และเสียงห้าวขึ้นเมื่ออายุ 14-15 ปี ลูกกระเดือกจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นในช่วงนี้
ก่อนจะเริ่มเป็นสาว
การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศในร่างกาย ในช่วงต่อระหว่างเด็กมาเป็นวัยรุ่น จะมีผลทำให้เกิดความชัดเจนของการแสดงออกทางร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง เสียง หรือลักษณะท่าทาง ในเด็กผู้หญิงจะเริ่มเมื่ออายุประมาณ 10 - 11 ปี เป็นต้นไป ซึ่งยังมีความแตกต่างกันในเวลาเริ่มต้นของแต่ละประเทศ
มีการศึกษาวิจัยในประเทศไทยพบว่า ในอดีตเด็กผู้หญิงจะเริ่มแตกเนื้อสาว เมื่ออายุราว 13-14 ปี แต่ปัจจุบันตัวเลขได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอายุน้อยลง เรื่อยๆ ซึ่งอาจจะเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อม กรรมพันธุ์ เช่น เด็กผู้หญิงซึ่งมารดาของเธอเริ่มมีประจำเดือนช้า ก็จะเริ่มมีประจำเดือนช้าเหมือนมารดา นอกจากนี้พบว่า โภชนาการและสุขภาพกายก็มีส่วนสำคัญ เด็กที่มีโรคภัยไข้เจ็บบ่อยๆ หรือเด็กที่ขาดอาหาร ก็จะเริ่มแตกเนื้อสาวช้ากว่าเพื่อนคนอื่น การผิดแผกแตกต่างจากเพื่อนในเรื่องรูปร่าง บางครั้งก็ทำให้เกิดปัญหาในด้านจิตใจได้ พ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูควรให้ความรู้ที่ถูกต้อง ให้กำลังใจและให้ความมั่นใจแก่เด็กว่า สิ่งที่ตัวเขาไม่เหมือนเพื่อนอาจเป็นแค่ชั่วคราว หรือถ้าเป็นผลของกรรมพันธุ์ก็ควรอธิบายว่าคนเราเกิดมาคงต้องวัดกันที่ความรู้ความสามารถ การทำงานให้ประสพความสำเร็จ การเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่ใช่ดูแต่ลักษณะภายนอก
สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับวัยสาว
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงต่อไปนี้ เป็นตัวเลขคร่าวๆ ของสถิติในต่างประเทศเท่านั้น
ความสูงเห็นชัดเจนเมื่ออายุ 10-11 ปี และจะลดน้อยลงเมื่ออายุ 15-16 ปี ถ้าอายุ 15 ปีแล้วเด็กสูงขึ้นไม่ชัดเจน ควรปรึกษาแพทย์
การเปลี่ยนแปลงของหน้าอก เห็นได้ชัดเจนเมื่ออายุ 10-11 ปี และเมื่ออายุ 13-14 ปีขึ้นไปจะ เปลี่ยนแปลงไม่ค่อยมาก
ขนตามร่างกาย ได้แก่ ขนบริเวณอวัยวะเพศเริ่มมีตอน อายุ 10-11 ปี ส่วนขนรักแร้ เริ่มมีตออายุ 12-13 ปี
ต่อมเหงื่อที่รักแร้และขาหนีบ เริ่มมีมากขึ้นเมื่ออายุ 12-13 ปี ทำให้มีกลิ่นบริเวณรักแร้
ประจำเดือน เริ่มมีระหว่างอายุ 11-14 ปี ในระยะแรกจะไม่ค่อยสม่ำเสมอ และหลัง 16-17 ปีไปแล้วมักมีรอบเดือนสม่ำเสมอ
รู้อย่างนี้แล้ว เราก็ควรเตรียมตัวเตรียมใจรับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นะจ๊ะ
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก bangkokhealth.com
มีการศึกษาวิจัยในประเทศไทยพบว่าในอดีตเด็กผู้ชายจะเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม เมื่ออายุราว 14-15 ปี แต่ปัจจุบันตัวเลขได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอายุน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะมีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อม กรรมพันธุ์ และการมีโภชนาการที่ดีขึ้น เด็กที่มีโรคภัยไข้เจ็บบ่อยๆ หรือเด็กที่ขาดอาหารก็จะเริ่มแตกเนื้อหนุ่มช้ากว่าเพื่อนคนอื่น การผิดแผกแตกต่างจากเพื่อนในเรื่องรูปร่าง บางครั้งก็ทำให้เกิดปํญหาในด้านจิตใจได้ พ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูควรให้ความรู้ที่ถูกต้อง ให้กำลังใจ และให้ความมั่นใจแก่เด็กว่า สิ่งที่ตัวเขาไม่เหมือนเพื่อน อาจเป็นแค่ชั่วคราว หรือถ้าเป็นผลของกรรมพันธุ์ ก็ควรอธิบายว่าคนเราเกิดมาคงต้องวัดกันที่ความรู้ความสามารถ การทำงานให้ประสพความสำเร็จ การเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่ใช่ดูจากลักษณะภายนอก
สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับวัยหนุ่ม
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงต่อไปนี้เป็นตัวเลขคร่าวๆ ของสถิติในต่างประเทศเท่านั้น
ความสูง เห็นได้ชัดเจนเมื่ออายุ 12-13 ปี และจะลดน้อยลงเมื่ออายุ 17-18 ปี ถ้าอายุ 15 ปีแล้วเด็กสูงขึ้นไม่ชัดเจน ควรปรึกษาแพทย์
อวัยวะเพศซึ่งรวมทั้งลูกอัณฑะด้วย จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอายุ 12-13 ปี และเปลี่ยนแปลง น้อยลง เมื่ออายุ 15-17 ปี เด็กผู้ชายจะสามารถหลั่งน้ำอสุจิหรือฝันเปียกได้เมื่ออายุ 12-13 ปี
ขนตามร่างกายได้แก่ ขนบริเวณอวัยวะเพศเริ่มมีตอนอายุ 11-12 ปี ส่วนขนรักแร้เริ่มมีตอนอายุ 13-15 ปี
ต่อมเหงื่อที่รักแร้และขาหนีบ เริ่มมีมากขึ้นเมื่ออายุ 13-15 ปี ทำให้เริ่มมีกลิ่นบริเวณรักแร้
เสียงแตก เนื่องจากกล่องเสียงใหญ่ขึ้นเมื่ออายุ 13-14 ปี และเสียงห้าวขึ้นเมื่ออายุ 14-15 ปี ลูกกระเดือกจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นในช่วงนี้
ก่อนจะเริ่มเป็นสาว
การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศในร่างกาย ในช่วงต่อระหว่างเด็กมาเป็นวัยรุ่น จะมีผลทำให้เกิดความชัดเจนของการแสดงออกทางร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง เสียง หรือลักษณะท่าทาง ในเด็กผู้หญิงจะเริ่มเมื่ออายุประมาณ 10 - 11 ปี เป็นต้นไป ซึ่งยังมีความแตกต่างกันในเวลาเริ่มต้นของแต่ละประเทศ
มีการศึกษาวิจัยในประเทศไทยพบว่า ในอดีตเด็กผู้หญิงจะเริ่มแตกเนื้อสาว เมื่ออายุราว 13-14 ปี แต่ปัจจุบันตัวเลขได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอายุน้อยลง เรื่อยๆ ซึ่งอาจจะเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อม กรรมพันธุ์ เช่น เด็กผู้หญิงซึ่งมารดาของเธอเริ่มมีประจำเดือนช้า ก็จะเริ่มมีประจำเดือนช้าเหมือนมารดา นอกจากนี้พบว่า โภชนาการและสุขภาพกายก็มีส่วนสำคัญ เด็กที่มีโรคภัยไข้เจ็บบ่อยๆ หรือเด็กที่ขาดอาหาร ก็จะเริ่มแตกเนื้อสาวช้ากว่าเพื่อนคนอื่น การผิดแผกแตกต่างจากเพื่อนในเรื่องรูปร่าง บางครั้งก็ทำให้เกิดปัญหาในด้านจิตใจได้ พ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูควรให้ความรู้ที่ถูกต้อง ให้กำลังใจและให้ความมั่นใจแก่เด็กว่า สิ่งที่ตัวเขาไม่เหมือนเพื่อนอาจเป็นแค่ชั่วคราว หรือถ้าเป็นผลของกรรมพันธุ์ก็ควรอธิบายว่าคนเราเกิดมาคงต้องวัดกันที่ความรู้ความสามารถ การทำงานให้ประสพความสำเร็จ การเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่ใช่ดูแต่ลักษณะภายนอก
สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับวัยสาว
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงต่อไปนี้ เป็นตัวเลขคร่าวๆ ของสถิติในต่างประเทศเท่านั้น
ความสูงเห็นชัดเจนเมื่ออายุ 10-11 ปี และจะลดน้อยลงเมื่ออายุ 15-16 ปี ถ้าอายุ 15 ปีแล้วเด็กสูงขึ้นไม่ชัดเจน ควรปรึกษาแพทย์
การเปลี่ยนแปลงของหน้าอก เห็นได้ชัดเจนเมื่ออายุ 10-11 ปี และเมื่ออายุ 13-14 ปีขึ้นไปจะ เปลี่ยนแปลงไม่ค่อยมาก
ขนตามร่างกาย ได้แก่ ขนบริเวณอวัยวะเพศเริ่มมีตอน อายุ 10-11 ปี ส่วนขนรักแร้ เริ่มมีตออายุ 12-13 ปี
ต่อมเหงื่อที่รักแร้และขาหนีบ เริ่มมีมากขึ้นเมื่ออายุ 12-13 ปี ทำให้มีกลิ่นบริเวณรักแร้
ประจำเดือน เริ่มมีระหว่างอายุ 11-14 ปี ในระยะแรกจะไม่ค่อยสม่ำเสมอ และหลัง 16-17 ปีไปแล้วมักมีรอบเดือนสม่ำเสมอ
รู้อย่างนี้แล้ว เราก็ควรเตรียมตัวเตรียมใจรับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นะจ๊ะ
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก bangkokhealth.com
ที่มาของ "รูบิค" ..ของเล่นเสริมสร้างไอคิว
ลูกบาศก์แบบต่างๆ (จากซ้าย) รูบิคล้างแค้น, ลูกบาศก์ของรูบิค, ลูกบาศก์ศาสตราจารย์, ลูกบาศก์พกพา
ลูกบาศก์ของรูบิค หรือที่เรียกกันว่า ลูกรูบิค เป็นของเล่นลับสมอง ประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ.1974 โดย เออร์โน รูบิค (Ernö Rubik) ซึ่งเป็นประติมากร และ ศาสตราจารย์ในสาขาสถาปนิก ชาวฮังการี โดยทั่วไปตัวลูกบาศก์นั้น ทำจากพลาสติก แบ่งเป็นชิ้นย่อยๆ 26 ชิ้น ประกอบกันเป็นรูปลูกบาศก์ ที่สามารถบิดหมุนไปรอบๆ ได้ ส่วนที่มองเห็นได้ของแต่ละด้าน จะประกอบด้วย 9 ส่วนย่อย ซึ่งมีสีทั้งหมด 6 สี ส่วนประกอบที่หมุนไปมาได้นี้ ทำให้การจัดเรียงสีของส่วนต่างๆ สลับกันได้หลายรูปแบบ จุดประสงค์ของเกม คือ การจัดเรียงให้แถบสีทั้ง 9 ที่อยู่ในด้านเดียวกันของลูกบาศก์ ซึ่งมีทั้งหมด 6 ด้านนั้น มีสีเดียวกัน
ลูกบาศก์ของรูบิค ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงต้นของทศวรรษ 1980 และ ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมสมัยนิยมของยุคนั้น ลูกบาศก์ของรูบิคนั้น ถือได้ว่าเป็นเป็นของเล่นที่ขายได้มากที่สุดในโลก โดยมีจำนวนยอดขายรวมทั้งของแท้และเลียนแบบ มากกว่า 300,000,000 ชิ้นทั่วโลก
ประวัติ
เออร์โน รูบิค (Ernö Rubik)
ลูกบาศก์ของรูบิค ถูกคิดค้นขึ้นในปี ค.ศ.1974 โดย เออร์โน รูบิค ประติมากร และศาสตราจารย์สถาปนิก ชาวฮังการี ผู้ซึ่งมีความสนใจในเรขาคณิต และรูปทรงสามมิติ เออร์โน ได้จดสิทธิบัตร HU170062 สิ่งประดิษฐ์ ในชื่อ "ลูกบาศก์มหัศจรรย์" (Magic Cube) ในปี ค.ศ.1975 ที่ประเทศฮังการี แต่ไม่ได้ทำการจดสิทธิบัตรนานาชาติ ได้มีการผลิดชุดแรกเพื่อสำรวจตลาด ในปลายปี ค.ศ.1977 โดยทำการจำหน่ายในร้านของเล่นในกรุงบูดาเปสต์
หลังจากนั้น ลูกบาศก์นี้ก็เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นทั่วทั้งประเทศฮังการี โดยการบอกเล่าปากต่อปาก วงการศึกษาในกลุ่มประเทศตะวันตก ก็เริ่มให้ความสนใจในลูกบาศก์นี้ ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1979 บริษัท ไอดีลทอยส์ (Ideal Toys) ได้ทำข้อตกลงเพื่อทำการจำหน่ายทั่วโลก และได้มีการเปิดตัวของลูกบาศก์นี้ในระดับนานาชาติ ที่งานแสดงของเล่นที่กรุงลอนดอน นครนิวยอร์ก เมืองนูร์นแบร์ก และ กรุงปารีส ในช่วงต้นปี ค.ศ.1980 บริษัท ไอดีลทอยส์ ได้เปลี่ยนชื่อของเล่นนี้เป็น "ลูกบาศก์ของรูบิค" (Rubik's Cube) และ ได้มีการส่งออกลูกบาศก์นี้ จากประเทศฮังการีชุดแรกเพื่อการจำหน่าย ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1980
ชื่อ "ลูกบาศก์ของรูบิค" เป็นเครื่องหมายการค้า ของบริษัท "Seven Towns Limited" ดังนั้น บริษัทไอดีลทอยส์ จึงลังเลที่จะผลิตของเล่นนี้ในขณะนั้น จึงปรากฏของลอกเลียนแบบออกจำหน่าย ในปี ค.ศ.1984 บริษัท ไอดีลทอยส์ ได้แพ้คดีการล่วงละเมิดสิทธิบัตรหมายเลข US3655201 ซึ่งฟ้องร้องโดย แลร์รี นิโคลส์ Larry Nichols ชาวญี่ปุ่นชื่อ อิชิกิ เทรุโตชิ (Terutoshi Ishigi) ได้ทำการจดสิทธิบัตรของเล่นที่มีลักษณะเกือบจะเหมือนกันกับลูกบาศก์ของรูบิค หมายเลข JP55‒8192 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเวลาระหว่างที่สิทธิบัตรที่รูบิคขอนั้น กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ นายอิชิกิ จึงได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นการค้นพบซ้ำกัน
ลูกบาศก์ของรูบิค หรือที่เรียกกันว่า ลูกรูบิค เป็นของเล่นลับสมอง ประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ.1974 โดย เออร์โน รูบิค (Ernö Rubik) ซึ่งเป็นประติมากร และ ศาสตราจารย์ในสาขาสถาปนิก ชาวฮังการี โดยทั่วไปตัวลูกบาศก์นั้น ทำจากพลาสติก แบ่งเป็นชิ้นย่อยๆ 26 ชิ้น ประกอบกันเป็นรูปลูกบาศก์ ที่สามารถบิดหมุนไปรอบๆ ได้ ส่วนที่มองเห็นได้ของแต่ละด้าน จะประกอบด้วย 9 ส่วนย่อย ซึ่งมีสีทั้งหมด 6 สี ส่วนประกอบที่หมุนไปมาได้นี้ ทำให้การจัดเรียงสีของส่วนต่างๆ สลับกันได้หลายรูปแบบ จุดประสงค์ของเกม คือ การจัดเรียงให้แถบสีทั้ง 9 ที่อยู่ในด้านเดียวกันของลูกบาศก์ ซึ่งมีทั้งหมด 6 ด้านนั้น มีสีเดียวกัน
ลูกบาศก์ของรูบิค ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงต้นของทศวรรษ 1980 และ ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมสมัยนิยมของยุคนั้น ลูกบาศก์ของรูบิคนั้น ถือได้ว่าเป็นเป็นของเล่นที่ขายได้มากที่สุดในโลก โดยมีจำนวนยอดขายรวมทั้งของแท้และเลียนแบบ มากกว่า 300,000,000 ชิ้นทั่วโลก
ประวัติ
เออร์โน รูบิค (Ernö Rubik)
ลูกบาศก์ของรูบิค ถูกคิดค้นขึ้นในปี ค.ศ.1974 โดย เออร์โน รูบิค ประติมากร และศาสตราจารย์สถาปนิก ชาวฮังการี ผู้ซึ่งมีความสนใจในเรขาคณิต และรูปทรงสามมิติ เออร์โน ได้จดสิทธิบัตร HU170062 สิ่งประดิษฐ์ ในชื่อ "ลูกบาศก์มหัศจรรย์" (Magic Cube) ในปี ค.ศ.1975 ที่ประเทศฮังการี แต่ไม่ได้ทำการจดสิทธิบัตรนานาชาติ ได้มีการผลิดชุดแรกเพื่อสำรวจตลาด ในปลายปี ค.ศ.1977 โดยทำการจำหน่ายในร้านของเล่นในกรุงบูดาเปสต์
หลังจากนั้น ลูกบาศก์นี้ก็เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นทั่วทั้งประเทศฮังการี โดยการบอกเล่าปากต่อปาก วงการศึกษาในกลุ่มประเทศตะวันตก ก็เริ่มให้ความสนใจในลูกบาศก์นี้ ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1979 บริษัท ไอดีลทอยส์ (Ideal Toys) ได้ทำข้อตกลงเพื่อทำการจำหน่ายทั่วโลก และได้มีการเปิดตัวของลูกบาศก์นี้ในระดับนานาชาติ ที่งานแสดงของเล่นที่กรุงลอนดอน นครนิวยอร์ก เมืองนูร์นแบร์ก และ กรุงปารีส ในช่วงต้นปี ค.ศ.1980 บริษัท ไอดีลทอยส์ ได้เปลี่ยนชื่อของเล่นนี้เป็น "ลูกบาศก์ของรูบิค" (Rubik's Cube) และ ได้มีการส่งออกลูกบาศก์นี้ จากประเทศฮังการีชุดแรกเพื่อการจำหน่าย ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1980
ชื่อ "ลูกบาศก์ของรูบิค" เป็นเครื่องหมายการค้า ของบริษัท "Seven Towns Limited" ดังนั้น บริษัทไอดีลทอยส์ จึงลังเลที่จะผลิตของเล่นนี้ในขณะนั้น จึงปรากฏของลอกเลียนแบบออกจำหน่าย ในปี ค.ศ.1984 บริษัท ไอดีลทอยส์ ได้แพ้คดีการล่วงละเมิดสิทธิบัตรหมายเลข US3655201 ซึ่งฟ้องร้องโดย แลร์รี นิโคลส์ Larry Nichols ชาวญี่ปุ่นชื่อ อิชิกิ เทรุโตชิ (Terutoshi Ishigi) ได้ทำการจดสิทธิบัตรของเล่นที่มีลักษณะเกือบจะเหมือนกันกับลูกบาศก์ของรูบิค หมายเลข JP55‒8192 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเวลาระหว่างที่สิทธิบัตรที่รูบิคขอนั้น กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ นายอิชิกิ จึงได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นการค้นพบซ้ำกัน
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)