โรคเอดส์ คืออะไร
เอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immuno Deficiency Syndrome) เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า HIV หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเชื้อเอดส์ ซึ่งจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค มีผลทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกทำลายทำให้ติดโรคชนิดอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ท้องร่วงเรื้อรัง เชื้อราในสมอง ติดเชื้อในกระแสโลหิตรุนแรง หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ อาการรุนแรง ฯลฯ และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต
เชื้อไวรัสเอดส์ หรือ HIV (Human Immunodeficiency Virus) สามารถแบ่งตัวในเซลล์ของคน เช่น เม็ดเลือดขาว เซลล์สมอง เมื่อติดเชื้อร่างกายจะสร้างภูมิต้านทาน (Antibody) ต่อต้านเชื้อไวรัส แต่ไม่สามารถกำจัดให้หมดไป เชื้อยังคงอยู่ในเม็ดเลือดและแพร่ต่อไปได้ และจะไปทำลายเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมการทำงานของระบบ ภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานลดลง
เชื้อไวรัสเอดส์สามารถอาศัยหรือทำให้เกิดโรคในคนเท่านั้น ไม่สามารถทำให้เกิดโรคในสัตว์อื่น เมื่อออกมานอกร่างกายคนแล้วจะไม่สามารถทนสภาพแวดล้อมภายนอกได้ อาจมีชีวิตได้นานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันเท่านั้นขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความร้อน ความเย็น สภาวะกรด ด่าง ความแห้ง ความชื้น เช่น เพียงถูกความร้อน 56 องศาเซลเซียส นาน 10-15 นาที เชื้อก็ตายหมด นอกจากนี้ยังทำลายได้ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ เช่น น้ำยาซักผ้าขาว (โซเดียมไฮโปคลอไรท์ 5%) เชื้อไวรัสเอดส์พบมากที่สุดในเลือด น้ำเหลือง เนื้อเยื่อต่างๆ รองลงมาคือน้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ส่วนน้ำลาย เสมหะ น้ำนม มีปริมาณไวรัสเอดส์น้อย สำหรับเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ แทบไม่พบเลย แม้ว่าเชื้อเอดส์จะปะปนในของเหลวที่ออกจากร่างกาย แต่พบว่าโอกาสแพร่โรคมีเฉพาะเลือด น้ำอสุจิ และน้ำในช่องคลอดเท่านั้น
HIV ย่อมาจากชื่อของไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์
Human = มนุษย์
Immunodeficiency = ภูมิคุ้มกันเสื่อมลง
Virus = เชื้อไวรัส
AIDS เป็นชื่อย่อของโรคเอดส์ หมายถึง กลุ่มอาการที่เกิดจากภูมิคุ้มกันเสื่อมลงมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส HIV
Acquired = เกิดขึ้นภายหลัง
Immune = ภูมิคุ้มกัน
Deficiency = เสื่อมลง
Syndrome = กลุ่มอาการ
ประวัติความเป็นมา
โรคเอดส์พบครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2524 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยเป็นชายรักร่วมเพศป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อนิวโมซีสตีสแครินิอาย (Pneumocystis Carinii) ทั้งที่เป็นคนแข็งแรงมาก่อน และไม่ค่อยใช้ยากดภูมิต้านทาน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่า เชลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานโรคไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จากการศึกษาย้อนหลังพบว่า โรคนี้มีต้นกำเนิดจากประเทศแถบอัฟริกาตะวันตกในปี พ.ศ.2503 และต่อมาได้แพร่ไปยังเกาะไฮติ ทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเซีย รวมทั้งประเทศไทยด้วย
สำหรับผู้ป่วยเอดส์รายแรกในประเทศไทยนั้นเป็นชายอายุ 28 ปี เดินทางไปศึกษาต่อที่อเมริกาและมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เริ่มมีอาการในปี พ.ศ.2526 ได้รับการตรวจและรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอเมริกาพบว่าปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis Carinii แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นโรคเอดส์จึงกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทย ในปี พ.ศ.2527 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์
ผู้ที่มีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกายแต่ไม่มีอาการผิดปกติ, ไม่ป่วย เรียกว่า “ผู้ติดเชื้อเอดส์”
ผู้ติดเชื้อเอดส์ที่ภูมิคุ้มกันเสื่อมลงและมีอาการป่วยเรียกว่า “ผู้ป่วยเอดส์”
การติดต่อ
เชื้อเอดส์ติดต่อได้ 3 ทาง ได้แก่
ทางเลือด โดยเชื้อโรคอาจเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล เข็มฉีดยา รอยสัก เยื่อบุบาง ๆ เช่น เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุตา ฯลฯ
ทางเพศสัมพันธ์ เชื้อเอดส์สามารถซึมผ่านเยื่อบุท่อปัสสาวะและช่องคลอดได้ โดยไม่ต้องมีแผลหรือรอยถลอก ปาก คอ รวมทั้งเยื่อบุทวารหนักด้วย
จากแม่สู่ลูกในครรภ์ ซึ่งไม่ได้ติดเชื้อทุกราย ลูกจะติดเชื้อจากแม่เพียง 25-30% เท่านั้น และถ้าป้องกันด้วยการใช้ยา การติดเชื้อจากแม่จะลดลงเหลือประมาณ 8-10% เท่านั้น
กลไกการก่อโรคของเชื้อเอดส์
เมื่อเชื้อเอดส์ผ่านเข้าสู่กระแสเลือด ร่างกายจะตอบสนองโดยการสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อเอดส์ (แอนติบอดี้) ซึ่งสามารถยับยั้งการทำงานของเชื้อเอดส์บางส่วนได้ การตรวจหาการติดเชื้อเอดส์จะใช้วิธีตรวจแอนติบอดี้แทนการตรวจเชื้อเอดส์ เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกกว่ามาก
เชื้อเอดส์จะเข้าเกาะติดกับเม็ดเลือดบางชนิด CD4 ซึ่งปกติทำหน้าที่เป็นภูมิต้านทานเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมอื่น และจะเจาะผ่านเข้าอยู่ภายในเซลล์ เชื้อเอดส์จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นจนเซลล์ CD4 แตกออก เชื้อเอดส์จะเข้าสู่กระแสเลือดไปเกาะเซลล์ CD4 ตัวอื่นๆ ต่อไป
ภูมิคุ้มกันร่างกาย ไม่สามารถทำลายเฉพาะเชื้อเอดส์ที่มีอยู่ในเซลล์ CD4 แต่เซลล์ CD4 ที่มีเชื้อเอดส์จะถูกทำลายไปด้วย เพราะภูมิคุ้มกันไม่สามารถเลือกทำลายเฉพาะเชื้อเอดส์ได้ เมื่อเซลล์ CD4 ลดลงเรื่อยๆ ภูมิคุ้มกันร่างกายจึงเสื่อมลงจนไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ได้
การวิเคราะห์โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ อาศัยปัจจัย 4 ประการ
ทางออกของเชื้อ เชื้อเอดส์ออกจากร่างกายทางน้ำคัดหลั่งที่มีปริมาณเชื้อเอดส์อยู่มากได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น น้ำในช่องคลอด เลือดประจำเดือน น้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง ส่วนน้ำคัดหลั่งอื่นไม่สามารถแพร่เชื้อเอดส์ได้ ยกเว้นน้ำนมแม่ที่แพร่เชื้อเอดส์เฉพาะทารกที่ดูดนมแม่เท่านั้น
สภาพแวดล้อมที่ช่วยให้เชื้อเอดส์มีชีวิตอยู่ได้ เชื้อเอดส์จะตายง่ายในสภาพแวดล้อมที่ร้อนและแห้ง แต่จะมีชีวิตอยู่ได้นานในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น อับชื้นและมืด เช่น ช่องคลอด ทวารหนัก กระบอกฉีดยา ถุงเก็บเลือดบริจาค ฯลฯ
ทางเข้าของเชื้อ เชื้อเอดส์ผ่านเข้าสู่ร่างกายทางรอยแผล รอยถลอก และเยื่อบุบางๆ ชั้นเดียวที่อาจมี หรือไม่มีการฉีกขาดก็ได้ เช่น เยื่อบุตา เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุทวารหนัก ผนังช่องคลอด รูเปิดของอวัยวะเพศชาย ฯลฯ
ปริมาณเชื้อเอดส์ การก่อโรคนั้นจะต้องมีปริมาณเชื้อเอดส์ที่มากพอ โดยเฉพาะถ้าติดเชื้อจากน้ำคัดหลั่งที่มีความเข้มข้นของเชื้อสูง ส่วนน้ำคัดหลั่งที่แพร่เชื้อไม่ได้ มักมีจำนวนเชื้อเอดส์และเซลล์ CD4 น้อยมาก และอาจมีสารบางอย่างที่มีฤทธิ์ทำลายเชื้อเอดส์ได้ เช่น ในน้ำลาย,น้ำตาจะมีน้ำย่อย, และในปัสสาวะจะมีความเป็นกรดเป็นด่าง เป็นต้น
ระยะต่างๆ ของการเกิดเชื้อเอดส์และการป่วย
ระยะตรวจไม่พบการติดเชื้อ
เริ่มตั้งแต่รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะไม่สามารถตรวจพบได้ จนกว่าร่างกายสร้างแอนติบอดี้ต่อเชื้อเอดส์ ใช้เวลา 2 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน (บางครั้งอาจนานถึง 6 เดือน) เป็นช่วงที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก เนื่องจากปริมาณเชื้อในกระแสเลือดสูง และเป็นระยะที่ตรวจไม่พบการติดเชื้อทั้งที่มีเชื้อเอดส์อยู่ (Window period) ดังนั้นการตรวจเลือดได้ผลลบในผู้ที่เพิ่งรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจึงไม่ได้หมายความว่าคนผู้นั้นปลอดเอดส์อย่างแท้จริง
ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ
ผู้ติดเชื้อจะดูปกติแยกไม่ออกจากคนทั่วไป การปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตและเอาใจใส่ดูแล สุขภาพอย่างดี จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันเสื่อมช้าลง มีผู้ติดเชื้อเอดส์หลายคนยังคงแข็งแรงดี แม้จะติดเชื้อมานานถึง 15 ปีแล้ว
ระยะเริ่มมีอาการ
ผู้ติดเชื้อเอดส์อาจมีต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณหลังคอ รักแร้และขาหนีบ แต่ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ กลับไปสู่ระยะที่ 2 ได้ อาการที่พบบ่อยได้แก่ ไข้สูงนานหลายสัปดาห์ เชื้อราในช่องปาก มะเร็งผิวหนัง เหงื่อออกกลางคืน น้ำหนักลดมากๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต และโรคติดเชื้อแทรกซ้อนต่างๆ
การป้องกัน
การติดต่อทางเลือด ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ใส่ถุงมือทุกครั้งถ้าต้องสัมผัสกับเลือดน้ำเหลือง น้ำหนอง
การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ป้องกันโดยการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
การป้องกันการติดต่อจากแม่สู่ลูกในท้อง ต้องมีการเตรียมตัวก่อนแต่งงานโดยการตรวจสุขภาพและตรวจเลือด
ที่มา : คลังปัญญาไทย
http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B9%8C
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น