พิธีสารเกียวโต
มีจุดเริ่มต้นมาจากการลงนามใน อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ของประเทศต่างๆ ในปี พ.ศ. 2535 เพื่อรักษาระดับของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย อาศัยหลักการ “ความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างกัน” โดยประเทศพัฒนาแล้วต้องทำการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก่อน แต่เนื่องจากไม่มีเป้าหมายการลดที่ชัดเจน และไม่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย จึงได้มีการจัดทำ พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ขึ้น
พิธีสารเกียวโต เปรียบเหมือนกฎหมายลูกของอนุสัญญาฯ ที่มีหลักการเหมือนกัน เมื่อมีผลบังคับใช้ จะถือเป็นกฎหมายระหว่างประเทศเพียงฉบับเดียว ที่มีการกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนให้ประเทศพัฒนาแล้วลดการปล่อย CO2 ให้ได้ภายในปี พ.ศ.2551-2555 พิธีสารเกียวโตจะมีผลบังคับใช้ 90 วัน หลังจากที่มีประเทศร่วมให้สัตยาบันไม่น้อยกว่า 55 ประเทศ โดยในจำนวนนี้ จะต้องมีประเทศที่อยู่ในภาคผนวกที่ 1 ที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) รวมแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 55 ของการปล่อย CO จากประเทศในภาคผนวกที่ 1 ทั้งหมดที่ปล่อยในปี พ.ศ. 2533 ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันต่อพิธีเกียวโตแล้วในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2545
วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ภาวะโลกร้อน
ภาวะโลกร้อน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นตัวการสำคัญกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกไปสู่ บรรยากาศ การเผาผลาญเชื้อเพลงฟอสซิลต่างๆ เช่น ถ่านหิน น้ำมันเชื้อเพลิง และการตัดไม้ทำลายป่าเหล่านี้ส่งผลให้ปริมาณ คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล อันส่งผลกระทบต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภัยธรรมชาติ ต่างๆเกิดบ่อยขึ้น ......และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ คือ...
1. จำนวนพายุ Hurricane Category 4 และ 5 เพิ่มขึ้นสองเท่า ในสามสิบปีที่ผ่านมา
2. เชื้อมาลาเรียได้แพร่กระจายไปในที่สูงขึ้น แม้แต่ใน Columbian, Andes ที่สูง 7000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล
3. น้ำแข็ง ใน ธารน้ำแข็ง เขตกรีนแลนด์ ละลายเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
4. สัตว์ต่างๆ อย่างน้อย 279 สปีชี่ส์กำลังตอบสนองต่อ ภาวะโลกร้อน โดยพยายามย้ายถิ่นที่อยู่หากเรายังเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น รับรองได้เลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้แน่
5. อัตรา ผู้เสียชีวิต จาก โลกร้อน จะพุ่งไปอยู่ที่ 300000 คนต่อปี ใน 25 ปีต่อจากนี้
6. ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 20 ฟุต
7. คลื่นความร้อน จะมาบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น
8. ภาวะฝนแล้ง และไฟป่าจะเกิดบ่อยขึ้น
9. มหาสมุทรอาร์กติกจะไม่เหลือน้ำแข็ง ภายในฤดูร้อน 2050
10.สิ่งมีชีวิตกว่าล้านสปีชี่ส์เสี่ยงที่จะสูญพันธุ์
วิธีช่วยลดปัญหาโลกร้อน
คู่มือช่วยลด ภาวะโลกร้อน Ten Things To Do จาก An Inconvenient Truth
1. เปลี่ยนหลอดไฟ การเปลี่ยนหลอดไฟจากหลอดไส้เป็นฟลูออเรสเซนต์หนึ่งดวง จะช่วยลด คาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี
2. ขับรถให้น้อยลงหากเป็นระยะทางใกล้ๆ สามารถเดินหรือขี่จักรยานแทนได้ การขับรถยนตร์เป็นระยะทาง 1ไมล์จะปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ 1 ปอนด์
3. รีไซเคิลให้มากขึ้นลดขยะของบ้านคุณให้ได้ครึ่งนึงจะช่วยลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ถึง 2400 ปอนด์ต่อปี
4. เช็คลมยางการขับรถโดยที่ยางมีลมน้อย อาจทำให้เปลืองน้ำมันขึ้นได้ถึง 3% จากปกติน้ำมันๆทุกๆแกลลอนที่ประหยัดได้ จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 20 ปอนด์
5. ใช้น้ำร้อนให้น้อยลงในการทำน้ำร้อน ใช้พลังงานในการต้มสูงมาก การปรับเครื่องทำน้ำอุ่น ให้มีอุณหภูมิและแรงน้ำให้น้อยลง จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ์ได้ 350 ปอนด์ต่อปี หรือการซักผ้าในน้ำเย็น จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ปีละ 500 ปอนด์
6. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีบรรจุภัณฑ์เยอะเพียงแค่ลดขยะของคุณเอง 10 % จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 1200 ปอนด์ต่อปี
7. ปรับอุณหภูมิห้องของคุณ(สำหรับเมืองนอก)ในฤดูหนาว ปรับอุณหภูมิของ heater ให้ต่ำลง 2 องศา และในฤดูร้อน ปรับให้สูงขึ้น 2 องศาจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 2000 ปอนด์ต่อปี
8. ปลูกต้นไม้การ ปลูกต้นไม้ หนึ่งต้น จะดูดซับคาร์บอนไดออก ไซด์ได้ 1 ตัน ตลอดอายุของมันุ
9. ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช่ปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ใช้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับพันปอนด์ต่อปีและอย่างสุดท้าย
10. บอกเพื่อนๆของคุณเกี่ยวกับวิธี
1. จำนวนพายุ Hurricane Category 4 และ 5 เพิ่มขึ้นสองเท่า ในสามสิบปีที่ผ่านมา
2. เชื้อมาลาเรียได้แพร่กระจายไปในที่สูงขึ้น แม้แต่ใน Columbian, Andes ที่สูง 7000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล
3. น้ำแข็ง ใน ธารน้ำแข็ง เขตกรีนแลนด์ ละลายเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
4. สัตว์ต่างๆ อย่างน้อย 279 สปีชี่ส์กำลังตอบสนองต่อ ภาวะโลกร้อน โดยพยายามย้ายถิ่นที่อยู่หากเรายังเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น รับรองได้เลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้แน่
5. อัตรา ผู้เสียชีวิต จาก โลกร้อน จะพุ่งไปอยู่ที่ 300000 คนต่อปี ใน 25 ปีต่อจากนี้
6. ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 20 ฟุต
7. คลื่นความร้อน จะมาบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น
8. ภาวะฝนแล้ง และไฟป่าจะเกิดบ่อยขึ้น
9. มหาสมุทรอาร์กติกจะไม่เหลือน้ำแข็ง ภายในฤดูร้อน 2050
10.สิ่งมีชีวิตกว่าล้านสปีชี่ส์เสี่ยงที่จะสูญพันธุ์
วิธีช่วยลดปัญหาโลกร้อน
คู่มือช่วยลด ภาวะโลกร้อน Ten Things To Do จาก An Inconvenient Truth
1. เปลี่ยนหลอดไฟ การเปลี่ยนหลอดไฟจากหลอดไส้เป็นฟลูออเรสเซนต์หนึ่งดวง จะช่วยลด คาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี
2. ขับรถให้น้อยลงหากเป็นระยะทางใกล้ๆ สามารถเดินหรือขี่จักรยานแทนได้ การขับรถยนตร์เป็นระยะทาง 1ไมล์จะปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ 1 ปอนด์
3. รีไซเคิลให้มากขึ้นลดขยะของบ้านคุณให้ได้ครึ่งนึงจะช่วยลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ถึง 2400 ปอนด์ต่อปี
4. เช็คลมยางการขับรถโดยที่ยางมีลมน้อย อาจทำให้เปลืองน้ำมันขึ้นได้ถึง 3% จากปกติน้ำมันๆทุกๆแกลลอนที่ประหยัดได้ จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 20 ปอนด์
5. ใช้น้ำร้อนให้น้อยลงในการทำน้ำร้อน ใช้พลังงานในการต้มสูงมาก การปรับเครื่องทำน้ำอุ่น ให้มีอุณหภูมิและแรงน้ำให้น้อยลง จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ์ได้ 350 ปอนด์ต่อปี หรือการซักผ้าในน้ำเย็น จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ปีละ 500 ปอนด์
6. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีบรรจุภัณฑ์เยอะเพียงแค่ลดขยะของคุณเอง 10 % จะลด คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 1200 ปอนด์ต่อปี
7. ปรับอุณหภูมิห้องของคุณ(สำหรับเมืองนอก)ในฤดูหนาว ปรับอุณหภูมิของ heater ให้ต่ำลง 2 องศา และในฤดูร้อน ปรับให้สูงขึ้น 2 องศาจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 2000 ปอนด์ต่อปี
8. ปลูกต้นไม้การ ปลูกต้นไม้ หนึ่งต้น จะดูดซับคาร์บอนไดออก ไซด์ได้ 1 ตัน ตลอดอายุของมันุ
9. ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช่ปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ใช้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับพันปอนด์ต่อปีและอย่างสุดท้าย
10. บอกเพื่อนๆของคุณเกี่ยวกับวิธี
โรคเอดส์ (Aids)
โรคเอดส์ คืออะไร
เอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immuno Deficiency Syndrome) เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า HIV หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเชื้อเอดส์ ซึ่งจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค มีผลทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกทำลายทำให้ติดโรคชนิดอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ท้องร่วงเรื้อรัง เชื้อราในสมอง ติดเชื้อในกระแสโลหิตรุนแรง หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ อาการรุนแรง ฯลฯ และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต
เชื้อไวรัสเอดส์ หรือ HIV (Human Immunodeficiency Virus) สามารถแบ่งตัวในเซลล์ของคน เช่น เม็ดเลือดขาว เซลล์สมอง เมื่อติดเชื้อร่างกายจะสร้างภูมิต้านทาน (Antibody) ต่อต้านเชื้อไวรัส แต่ไม่สามารถกำจัดให้หมดไป เชื้อยังคงอยู่ในเม็ดเลือดและแพร่ต่อไปได้ และจะไปทำลายเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมการทำงานของระบบ ภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานลดลง
เชื้อไวรัสเอดส์สามารถอาศัยหรือทำให้เกิดโรคในคนเท่านั้น ไม่สามารถทำให้เกิดโรคในสัตว์อื่น เมื่อออกมานอกร่างกายคนแล้วจะไม่สามารถทนสภาพแวดล้อมภายนอกได้ อาจมีชีวิตได้นานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันเท่านั้นขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความร้อน ความเย็น สภาวะกรด ด่าง ความแห้ง ความชื้น เช่น เพียงถูกความร้อน 56 องศาเซลเซียส นาน 10-15 นาที เชื้อก็ตายหมด นอกจากนี้ยังทำลายได้ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ เช่น น้ำยาซักผ้าขาว (โซเดียมไฮโปคลอไรท์ 5%) เชื้อไวรัสเอดส์พบมากที่สุดในเลือด น้ำเหลือง เนื้อเยื่อต่างๆ รองลงมาคือน้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ส่วนน้ำลาย เสมหะ น้ำนม มีปริมาณไวรัสเอดส์น้อย สำหรับเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ แทบไม่พบเลย แม้ว่าเชื้อเอดส์จะปะปนในของเหลวที่ออกจากร่างกาย แต่พบว่าโอกาสแพร่โรคมีเฉพาะเลือด น้ำอสุจิ และน้ำในช่องคลอดเท่านั้น
HIV ย่อมาจากชื่อของไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์
Human = มนุษย์
Immunodeficiency = ภูมิคุ้มกันเสื่อมลง
Virus = เชื้อไวรัส
AIDS เป็นชื่อย่อของโรคเอดส์ หมายถึง กลุ่มอาการที่เกิดจากภูมิคุ้มกันเสื่อมลงมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส HIV
Acquired = เกิดขึ้นภายหลัง
Immune = ภูมิคุ้มกัน
Deficiency = เสื่อมลง
Syndrome = กลุ่มอาการ
ประวัติความเป็นมา
โรคเอดส์พบครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2524 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยเป็นชายรักร่วมเพศป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อนิวโมซีสตีสแครินิอาย (Pneumocystis Carinii) ทั้งที่เป็นคนแข็งแรงมาก่อน และไม่ค่อยใช้ยากดภูมิต้านทาน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่า เชลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานโรคไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จากการศึกษาย้อนหลังพบว่า โรคนี้มีต้นกำเนิดจากประเทศแถบอัฟริกาตะวันตกในปี พ.ศ.2503 และต่อมาได้แพร่ไปยังเกาะไฮติ ทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเซีย รวมทั้งประเทศไทยด้วย
สำหรับผู้ป่วยเอดส์รายแรกในประเทศไทยนั้นเป็นชายอายุ 28 ปี เดินทางไปศึกษาต่อที่อเมริกาและมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เริ่มมีอาการในปี พ.ศ.2526 ได้รับการตรวจและรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอเมริกาพบว่าปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis Carinii แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นโรคเอดส์จึงกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทย ในปี พ.ศ.2527 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์
ผู้ที่มีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกายแต่ไม่มีอาการผิดปกติ, ไม่ป่วย เรียกว่า “ผู้ติดเชื้อเอดส์”
ผู้ติดเชื้อเอดส์ที่ภูมิคุ้มกันเสื่อมลงและมีอาการป่วยเรียกว่า “ผู้ป่วยเอดส์”
การติดต่อ
เชื้อเอดส์ติดต่อได้ 3 ทาง ได้แก่
ทางเลือด โดยเชื้อโรคอาจเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล เข็มฉีดยา รอยสัก เยื่อบุบาง ๆ เช่น เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุตา ฯลฯ
ทางเพศสัมพันธ์ เชื้อเอดส์สามารถซึมผ่านเยื่อบุท่อปัสสาวะและช่องคลอดได้ โดยไม่ต้องมีแผลหรือรอยถลอก ปาก คอ รวมทั้งเยื่อบุทวารหนักด้วย
จากแม่สู่ลูกในครรภ์ ซึ่งไม่ได้ติดเชื้อทุกราย ลูกจะติดเชื้อจากแม่เพียง 25-30% เท่านั้น และถ้าป้องกันด้วยการใช้ยา การติดเชื้อจากแม่จะลดลงเหลือประมาณ 8-10% เท่านั้น
กลไกการก่อโรคของเชื้อเอดส์
เมื่อเชื้อเอดส์ผ่านเข้าสู่กระแสเลือด ร่างกายจะตอบสนองโดยการสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อเอดส์ (แอนติบอดี้) ซึ่งสามารถยับยั้งการทำงานของเชื้อเอดส์บางส่วนได้ การตรวจหาการติดเชื้อเอดส์จะใช้วิธีตรวจแอนติบอดี้แทนการตรวจเชื้อเอดส์ เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกกว่ามาก
เชื้อเอดส์จะเข้าเกาะติดกับเม็ดเลือดบางชนิด CD4 ซึ่งปกติทำหน้าที่เป็นภูมิต้านทานเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมอื่น และจะเจาะผ่านเข้าอยู่ภายในเซลล์ เชื้อเอดส์จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นจนเซลล์ CD4 แตกออก เชื้อเอดส์จะเข้าสู่กระแสเลือดไปเกาะเซลล์ CD4 ตัวอื่นๆ ต่อไป
ภูมิคุ้มกันร่างกาย ไม่สามารถทำลายเฉพาะเชื้อเอดส์ที่มีอยู่ในเซลล์ CD4 แต่เซลล์ CD4 ที่มีเชื้อเอดส์จะถูกทำลายไปด้วย เพราะภูมิคุ้มกันไม่สามารถเลือกทำลายเฉพาะเชื้อเอดส์ได้ เมื่อเซลล์ CD4 ลดลงเรื่อยๆ ภูมิคุ้มกันร่างกายจึงเสื่อมลงจนไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ได้
การวิเคราะห์โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ อาศัยปัจจัย 4 ประการ
ทางออกของเชื้อ เชื้อเอดส์ออกจากร่างกายทางน้ำคัดหลั่งที่มีปริมาณเชื้อเอดส์อยู่มากได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น น้ำในช่องคลอด เลือดประจำเดือน น้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง ส่วนน้ำคัดหลั่งอื่นไม่สามารถแพร่เชื้อเอดส์ได้ ยกเว้นน้ำนมแม่ที่แพร่เชื้อเอดส์เฉพาะทารกที่ดูดนมแม่เท่านั้น
สภาพแวดล้อมที่ช่วยให้เชื้อเอดส์มีชีวิตอยู่ได้ เชื้อเอดส์จะตายง่ายในสภาพแวดล้อมที่ร้อนและแห้ง แต่จะมีชีวิตอยู่ได้นานในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น อับชื้นและมืด เช่น ช่องคลอด ทวารหนัก กระบอกฉีดยา ถุงเก็บเลือดบริจาค ฯลฯ
ทางเข้าของเชื้อ เชื้อเอดส์ผ่านเข้าสู่ร่างกายทางรอยแผล รอยถลอก และเยื่อบุบางๆ ชั้นเดียวที่อาจมี หรือไม่มีการฉีกขาดก็ได้ เช่น เยื่อบุตา เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุทวารหนัก ผนังช่องคลอด รูเปิดของอวัยวะเพศชาย ฯลฯ
ปริมาณเชื้อเอดส์ การก่อโรคนั้นจะต้องมีปริมาณเชื้อเอดส์ที่มากพอ โดยเฉพาะถ้าติดเชื้อจากน้ำคัดหลั่งที่มีความเข้มข้นของเชื้อสูง ส่วนน้ำคัดหลั่งที่แพร่เชื้อไม่ได้ มักมีจำนวนเชื้อเอดส์และเซลล์ CD4 น้อยมาก และอาจมีสารบางอย่างที่มีฤทธิ์ทำลายเชื้อเอดส์ได้ เช่น ในน้ำลาย,น้ำตาจะมีน้ำย่อย, และในปัสสาวะจะมีความเป็นกรดเป็นด่าง เป็นต้น
ระยะต่างๆ ของการเกิดเชื้อเอดส์และการป่วย
ระยะตรวจไม่พบการติดเชื้อ
เริ่มตั้งแต่รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะไม่สามารถตรวจพบได้ จนกว่าร่างกายสร้างแอนติบอดี้ต่อเชื้อเอดส์ ใช้เวลา 2 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน (บางครั้งอาจนานถึง 6 เดือน) เป็นช่วงที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก เนื่องจากปริมาณเชื้อในกระแสเลือดสูง และเป็นระยะที่ตรวจไม่พบการติดเชื้อทั้งที่มีเชื้อเอดส์อยู่ (Window period) ดังนั้นการตรวจเลือดได้ผลลบในผู้ที่เพิ่งรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจึงไม่ได้หมายความว่าคนผู้นั้นปลอดเอดส์อย่างแท้จริง
ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ
ผู้ติดเชื้อจะดูปกติแยกไม่ออกจากคนทั่วไป การปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตและเอาใจใส่ดูแล สุขภาพอย่างดี จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันเสื่อมช้าลง มีผู้ติดเชื้อเอดส์หลายคนยังคงแข็งแรงดี แม้จะติดเชื้อมานานถึง 15 ปีแล้ว
ระยะเริ่มมีอาการ
ผู้ติดเชื้อเอดส์อาจมีต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณหลังคอ รักแร้และขาหนีบ แต่ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ กลับไปสู่ระยะที่ 2 ได้ อาการที่พบบ่อยได้แก่ ไข้สูงนานหลายสัปดาห์ เชื้อราในช่องปาก มะเร็งผิวหนัง เหงื่อออกกลางคืน น้ำหนักลดมากๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต และโรคติดเชื้อแทรกซ้อนต่างๆ
การป้องกัน
การติดต่อทางเลือด ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ใส่ถุงมือทุกครั้งถ้าต้องสัมผัสกับเลือดน้ำเหลือง น้ำหนอง
การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ป้องกันโดยการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
การป้องกันการติดต่อจากแม่สู่ลูกในท้อง ต้องมีการเตรียมตัวก่อนแต่งงานโดยการตรวจสุขภาพและตรวจเลือด
ที่มา : คลังปัญญาไทย
http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B9%8C
เอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immuno Deficiency Syndrome) เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า HIV หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเชื้อเอดส์ ซึ่งจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค มีผลทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกทำลายทำให้ติดโรคชนิดอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ท้องร่วงเรื้อรัง เชื้อราในสมอง ติดเชื้อในกระแสโลหิตรุนแรง หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ อาการรุนแรง ฯลฯ และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต
เชื้อไวรัสเอดส์ หรือ HIV (Human Immunodeficiency Virus) สามารถแบ่งตัวในเซลล์ของคน เช่น เม็ดเลือดขาว เซลล์สมอง เมื่อติดเชื้อร่างกายจะสร้างภูมิต้านทาน (Antibody) ต่อต้านเชื้อไวรัส แต่ไม่สามารถกำจัดให้หมดไป เชื้อยังคงอยู่ในเม็ดเลือดและแพร่ต่อไปได้ และจะไปทำลายเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมการทำงานของระบบ ภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานลดลง
เชื้อไวรัสเอดส์สามารถอาศัยหรือทำให้เกิดโรคในคนเท่านั้น ไม่สามารถทำให้เกิดโรคในสัตว์อื่น เมื่อออกมานอกร่างกายคนแล้วจะไม่สามารถทนสภาพแวดล้อมภายนอกได้ อาจมีชีวิตได้นานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันเท่านั้นขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความร้อน ความเย็น สภาวะกรด ด่าง ความแห้ง ความชื้น เช่น เพียงถูกความร้อน 56 องศาเซลเซียส นาน 10-15 นาที เชื้อก็ตายหมด นอกจากนี้ยังทำลายได้ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ เช่น น้ำยาซักผ้าขาว (โซเดียมไฮโปคลอไรท์ 5%) เชื้อไวรัสเอดส์พบมากที่สุดในเลือด น้ำเหลือง เนื้อเยื่อต่างๆ รองลงมาคือน้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ส่วนน้ำลาย เสมหะ น้ำนม มีปริมาณไวรัสเอดส์น้อย สำหรับเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ แทบไม่พบเลย แม้ว่าเชื้อเอดส์จะปะปนในของเหลวที่ออกจากร่างกาย แต่พบว่าโอกาสแพร่โรคมีเฉพาะเลือด น้ำอสุจิ และน้ำในช่องคลอดเท่านั้น
HIV ย่อมาจากชื่อของไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์
Human = มนุษย์
Immunodeficiency = ภูมิคุ้มกันเสื่อมลง
Virus = เชื้อไวรัส
AIDS เป็นชื่อย่อของโรคเอดส์ หมายถึง กลุ่มอาการที่เกิดจากภูมิคุ้มกันเสื่อมลงมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส HIV
Acquired = เกิดขึ้นภายหลัง
Immune = ภูมิคุ้มกัน
Deficiency = เสื่อมลง
Syndrome = กลุ่มอาการ
ประวัติความเป็นมา
โรคเอดส์พบครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2524 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยเป็นชายรักร่วมเพศป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อนิวโมซีสตีสแครินิอาย (Pneumocystis Carinii) ทั้งที่เป็นคนแข็งแรงมาก่อน และไม่ค่อยใช้ยากดภูมิต้านทาน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่า เชลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานโรคไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จากการศึกษาย้อนหลังพบว่า โรคนี้มีต้นกำเนิดจากประเทศแถบอัฟริกาตะวันตกในปี พ.ศ.2503 และต่อมาได้แพร่ไปยังเกาะไฮติ ทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเซีย รวมทั้งประเทศไทยด้วย
สำหรับผู้ป่วยเอดส์รายแรกในประเทศไทยนั้นเป็นชายอายุ 28 ปี เดินทางไปศึกษาต่อที่อเมริกาและมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เริ่มมีอาการในปี พ.ศ.2526 ได้รับการตรวจและรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอเมริกาพบว่าปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis Carinii แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นโรคเอดส์จึงกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทย ในปี พ.ศ.2527 และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์
ผู้ที่มีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกายแต่ไม่มีอาการผิดปกติ, ไม่ป่วย เรียกว่า “ผู้ติดเชื้อเอดส์”
ผู้ติดเชื้อเอดส์ที่ภูมิคุ้มกันเสื่อมลงและมีอาการป่วยเรียกว่า “ผู้ป่วยเอดส์”
การติดต่อ
เชื้อเอดส์ติดต่อได้ 3 ทาง ได้แก่
ทางเลือด โดยเชื้อโรคอาจเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล เข็มฉีดยา รอยสัก เยื่อบุบาง ๆ เช่น เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุตา ฯลฯ
ทางเพศสัมพันธ์ เชื้อเอดส์สามารถซึมผ่านเยื่อบุท่อปัสสาวะและช่องคลอดได้ โดยไม่ต้องมีแผลหรือรอยถลอก ปาก คอ รวมทั้งเยื่อบุทวารหนักด้วย
จากแม่สู่ลูกในครรภ์ ซึ่งไม่ได้ติดเชื้อทุกราย ลูกจะติดเชื้อจากแม่เพียง 25-30% เท่านั้น และถ้าป้องกันด้วยการใช้ยา การติดเชื้อจากแม่จะลดลงเหลือประมาณ 8-10% เท่านั้น
กลไกการก่อโรคของเชื้อเอดส์
เมื่อเชื้อเอดส์ผ่านเข้าสู่กระแสเลือด ร่างกายจะตอบสนองโดยการสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อเอดส์ (แอนติบอดี้) ซึ่งสามารถยับยั้งการทำงานของเชื้อเอดส์บางส่วนได้ การตรวจหาการติดเชื้อเอดส์จะใช้วิธีตรวจแอนติบอดี้แทนการตรวจเชื้อเอดส์ เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกกว่ามาก
เชื้อเอดส์จะเข้าเกาะติดกับเม็ดเลือดบางชนิด CD4 ซึ่งปกติทำหน้าที่เป็นภูมิต้านทานเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมอื่น และจะเจาะผ่านเข้าอยู่ภายในเซลล์ เชื้อเอดส์จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นจนเซลล์ CD4 แตกออก เชื้อเอดส์จะเข้าสู่กระแสเลือดไปเกาะเซลล์ CD4 ตัวอื่นๆ ต่อไป
ภูมิคุ้มกันร่างกาย ไม่สามารถทำลายเฉพาะเชื้อเอดส์ที่มีอยู่ในเซลล์ CD4 แต่เซลล์ CD4 ที่มีเชื้อเอดส์จะถูกทำลายไปด้วย เพราะภูมิคุ้มกันไม่สามารถเลือกทำลายเฉพาะเชื้อเอดส์ได้ เมื่อเซลล์ CD4 ลดลงเรื่อยๆ ภูมิคุ้มกันร่างกายจึงเสื่อมลงจนไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ได้
การวิเคราะห์โอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ อาศัยปัจจัย 4 ประการ
ทางออกของเชื้อ เชื้อเอดส์ออกจากร่างกายทางน้ำคัดหลั่งที่มีปริมาณเชื้อเอดส์อยู่มากได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น น้ำในช่องคลอด เลือดประจำเดือน น้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง ส่วนน้ำคัดหลั่งอื่นไม่สามารถแพร่เชื้อเอดส์ได้ ยกเว้นน้ำนมแม่ที่แพร่เชื้อเอดส์เฉพาะทารกที่ดูดนมแม่เท่านั้น
สภาพแวดล้อมที่ช่วยให้เชื้อเอดส์มีชีวิตอยู่ได้ เชื้อเอดส์จะตายง่ายในสภาพแวดล้อมที่ร้อนและแห้ง แต่จะมีชีวิตอยู่ได้นานในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น อับชื้นและมืด เช่น ช่องคลอด ทวารหนัก กระบอกฉีดยา ถุงเก็บเลือดบริจาค ฯลฯ
ทางเข้าของเชื้อ เชื้อเอดส์ผ่านเข้าสู่ร่างกายทางรอยแผล รอยถลอก และเยื่อบุบางๆ ชั้นเดียวที่อาจมี หรือไม่มีการฉีกขาดก็ได้ เช่น เยื่อบุตา เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุทวารหนัก ผนังช่องคลอด รูเปิดของอวัยวะเพศชาย ฯลฯ
ปริมาณเชื้อเอดส์ การก่อโรคนั้นจะต้องมีปริมาณเชื้อเอดส์ที่มากพอ โดยเฉพาะถ้าติดเชื้อจากน้ำคัดหลั่งที่มีความเข้มข้นของเชื้อสูง ส่วนน้ำคัดหลั่งที่แพร่เชื้อไม่ได้ มักมีจำนวนเชื้อเอดส์และเซลล์ CD4 น้อยมาก และอาจมีสารบางอย่างที่มีฤทธิ์ทำลายเชื้อเอดส์ได้ เช่น ในน้ำลาย,น้ำตาจะมีน้ำย่อย, และในปัสสาวะจะมีความเป็นกรดเป็นด่าง เป็นต้น
ระยะต่างๆ ของการเกิดเชื้อเอดส์และการป่วย
ระยะตรวจไม่พบการติดเชื้อ
เริ่มตั้งแต่รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะไม่สามารถตรวจพบได้ จนกว่าร่างกายสร้างแอนติบอดี้ต่อเชื้อเอดส์ ใช้เวลา 2 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน (บางครั้งอาจนานถึง 6 เดือน) เป็นช่วงที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก เนื่องจากปริมาณเชื้อในกระแสเลือดสูง และเป็นระยะที่ตรวจไม่พบการติดเชื้อทั้งที่มีเชื้อเอดส์อยู่ (Window period) ดังนั้นการตรวจเลือดได้ผลลบในผู้ที่เพิ่งรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจึงไม่ได้หมายความว่าคนผู้นั้นปลอดเอดส์อย่างแท้จริง
ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ
ผู้ติดเชื้อจะดูปกติแยกไม่ออกจากคนทั่วไป การปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตและเอาใจใส่ดูแล สุขภาพอย่างดี จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันเสื่อมช้าลง มีผู้ติดเชื้อเอดส์หลายคนยังคงแข็งแรงดี แม้จะติดเชื้อมานานถึง 15 ปีแล้ว
ระยะเริ่มมีอาการ
ผู้ติดเชื้อเอดส์อาจมีต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณหลังคอ รักแร้และขาหนีบ แต่ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ กลับไปสู่ระยะที่ 2 ได้ อาการที่พบบ่อยได้แก่ ไข้สูงนานหลายสัปดาห์ เชื้อราในช่องปาก มะเร็งผิวหนัง เหงื่อออกกลางคืน น้ำหนักลดมากๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต และโรคติดเชื้อแทรกซ้อนต่างๆ
การป้องกัน
การติดต่อทางเลือด ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ใส่ถุงมือทุกครั้งถ้าต้องสัมผัสกับเลือดน้ำเหลือง น้ำหนอง
การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ป้องกันโดยการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
การป้องกันการติดต่อจากแม่สู่ลูกในท้อง ต้องมีการเตรียมตัวก่อนแต่งงานโดยการตรวจสุขภาพและตรวจเลือด
ที่มา : คลังปัญญาไทย
http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B9%8C
ความลับของ ' มัมมี่
ผู้เขียนเชื่อแน่ว่า คำว่า “มัมมี่” คงเป็นที่คุ้นหูหรือเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับท่านผู้อ่านเกือบทุกคน และเป็นศัพท์ที่พูดแล้วก็นึกภาพออกได้ทันทีว่ารูปร่างหน้าตาของมัมมี่เป็นอย่างไร เมื่อนึกถึงมัมมี่ก็มักจะนึกถึงปิรามิด สถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์ที่ตั้งสูงทมึนอยู่ท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้างคู่ไปด้วย เพราะว่าสิ่งสองสิ่งนี้มันเป็น- “สิ่งมหัศจรรย์” ที่เป็นสมบัติแห่งความลึกลับของชนชาวอิยิปต์โบราณ
แม้จะมีการศึกษาเรื่องราวของมัมมี่มาเป็นเวลานานแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันนี้การศึกษาความลับของมัมมี่ก็ยังคงกระทำอยู่ เพราะวิทยาการที่สูงขื้น เครื่องไม้เครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพขึ้น ยิ่งทำให้สามารถเจาะลึกเข้าไปสู่ความลับในประวัติศาสตร์นี้ได้มากขึ้น เราสามารถเห็นนักวิทยาศาสตร์ และนักโบราณคดีเป็นจำนวนมากก้มหน้าก้มตาศึกษา -เรื่องราวของมัมมี่อย่างจริงจัง เช่น ที่โรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ที่พิพิธภัณฑ์ศูนย์วิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งโบราณคดี ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย หรือว่า ที่สถาบัน -ศิลปศาสตร์แห่งเมืองดิทรอยท์ เป็นต้น การศึกษานอกจากจะใช้วิธีผ่าศพมัมมี่โดยตรงก็ยังมีการนำเอาระบบการถ่ายภาพจากแสงเอกซเรย์ 3 มิติ ที่เรียกว่า “Computerized Axial Tomography (CAT)“ มาใช้ซึ่งนอกจากจะไม่ต้องทำลายมัมมี่ที่ใช้ศึกษาอยู่แล้ว ยังสามารถให้รายละเอียดได้อย่างชัดเจนด้วย
จากความเชื่อของมนุษย์นับเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปีมาแล้ว เกี่ยวกับเรื่องของร่างกาย และวิญญาณ โดยที่เชื่อว่าการตายก็คือการที่วิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างที่เคยอาศัยอยู่ ความเชื่อถือของชาวอียิปต์โบราณ คิดว่าวิญญาณที่ได้หลุดลอยออกจากร่างเมื่อถึงเวลาหนึ่งได้เข้าไปสู่โลกอีกโลกหนึ่งซึ่งอาจจะเรียกว่า “โลกของพระเจ้า” และในวันหนึ่งข้างหน้าวิญญาณนั้นก็จะกลับมา ข้อสำคัญเมื่อวิญญาณกลับมาแล้วก็ต้องอาศัยร่างกายอยู่ และร่างกายที่จะอาศัยอยู่ได้ก็คงจะต้องเป็นร่างกายของตนเองซึ่งครั้งหนึ่งตนได้เคยอาศัยอยู่แล้ว จากความเชื่อถือนี้ การรักษาร่างกายให้คงสภาพไว้เพื่อรอการกลับมาของเจ้าของเดิมจึงเป็นสิ่งที่ชาวอียิปต์โบราณหาวิธีการทีจะทำให้ได้
ทุกสิ่งมีวิวัฒนาการ มัมมี่ก็เช่นกันในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณร่างกายของคนตายได้ถูกห่อไว้ด้วยผ้าหรือเสื่ออย่างลวก ๆ และถูกฝังไว้ในหลุมแคบ ๆ ภายใต้พื้นทรายลึกลงไปไม่กี่ฟุต หลุมที่ฝังก็อาจจะขุดกันอย่างหยาบ ๆ อาจจะมีการก่ออิฐหรือปูด้วย ไม้กระดานบ้าง แต่ก็ไม่มีศิลปะอะไร การฝังศพแบบนี้ชาวอียิปต์ในยุคนั้นก็ได้พบ-ความจริงข้อหนึ่งว่า ภายใต้ความร้อนระอุของพื้นทรายที่ถูกแสงแดดอันแรงกล้าเผาอยู่ตลอดเวลาศพภายในหลุมหยาบ ๆ นั้นมีสภาพเหมือนถูกอบหรือตากแห้ง และมีผลทำให้ศพนั้น ยังคงสภาพอยู่ได้เป็นเวลานาน การที่ศพไม่เน่าเปื่อยและจากความคิดความเชื่อถือที่ว่าวันหนึ่งวิญญาณที่จากไปก็จะกลับคืนมาอีก ญาติพี่น้องก็เลยกลัวว่าถ้าศพฟื้นขึ้นมาเมี่อไรก็อาจจะกลายเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกไปก็ได้ ก็เลยฝังพวกหม้อข้าวหม้อแกง เพชรพลอยหรือแม้แต่เครื่องใช้เครื่องมือในการทำมาหากินเอาไว้ให้ด้วย
เมื่อนานวันเข้า ความตายเป็นสิ่งมนุษย์เริ่มพิถีพิถันกันกับมัน พิธีรีตองเกี่ยวกับคนตายก็ชักจะมีมากขึ้นหลุมฝังศพชนิดที่ว่าสักแต่ขุดให้มันเป็นรูปเป็นโพรงก็ชักจะไม่เข้าทีเสียแล้ว หลุมศพจึงเริ่มพัฒนาตัวมันเอง เริ่มจากการที่ต้องขุดอย่างมีศิลปะ มีการก่ออิฐทำผนังหลุม และก็พยายามจัดทำให้เหมือนกับเป็นห้องๆ หนึ่ง และเพื่อให้คนตายได้นอนอย่างสบาย ๆ เหยียดแข้งเหยียดขาได้เต็มที่แทนที่จะต้องถูกมัดให้คุดคู้อยู่ในหลุมรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งผู้ตายพูดได้ก็คงจะบ่นว่าอึดอัดเหลือทน หลุมที่ฝังก็เลยแปรเปลี่ยนมาเป็นลักษณะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ศพเลยสามารถที่จะเหยียดร่างได้เต็มที่ ไม่จบเพียงแค่นั้น เพื่อให้คนตายมีความรู้สึกว่าอาศัยอยู่ในบ้านจริง เหนือหลุมฝังศพก็เลยต้องก่อสร้างให้รูป -ทรงคล้ายกับบ้าน มีหลังคามีฝาผนังทำนองนั้น ที่มีฐานะหน่อยก็อาจจะสร้างให้คล้ายๆ กับวังไปเลย เมื่อหลุมศพถูกวิวัฒนาการมาเป็นอย่างนั้น ศพที่เคยถูก “อบแห้ง” โดยธรรมชาติภายใต้ผิวทรายร้อน ๆ ก็เลยเป็นอันว่าจบกัน ปัญหาเรื่องศพเน่าเปื่อยก็เลยตามมา
ในยุคของราชวงศ์อียิปต์แรก ๆ (ก็ราวๆ เกือบ 3000 ปีก่อนคริสตศักราช) ศพจะถูกห่อ และมัดอย่างแน่นหนาด้วยผ้าลินินซึ่งอาบน้ำยา ศพถูกห่อไว้ด้วยผ้าหนามากจนแลดูกลมกะลุกปุ๊ก ถ้าจะเรียกว่ามัมมี่ก็คงเป็นมัมมี่ตุ๊ต๊ะ
ล่วงเลยมาจนถึงราชวงศ์ที่สองแห่งอียิปต์ (ประมาณ 2800 ปีก่อนคริสตศักราช) ความพยายามที่จะแต่งตัวให้มัมมี่ดูหล่อขึ้นก็เริ่มกันตอนนี้ มีการห่อศพด้วยผ้าลินินชุบน้ำยาอย่างพิถีพิถัน การห่อก็ไม่ใช่สักแต่ว่าห่อ ๆ ไป มีการพัวหัวพันขาแขน หรือพันรอบหน้าอก หน้าท้องเป็นส่วน ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือพันให้เห็นเป็นรูปทรงของคนไม่ใช่พันแบบให้ต้องเดาว่าภายในห่อผ้านั้นเป็นหมูหรือเป็นคน แม้แต่นิ้วมือนิ้วเท้าก็พยายามพันเน้นให้เห็นนิ้วทั้ง 5 (จะได้ไม่เข้าใจผิดว่าก่อนตายอ้ายหมอนี่นิ้วด้วนหรือเปล่า)
ความพยายามของการศึกษาของนักแต่งศพชาวอียิปต์ ค้นพบว่าสาเหตุของการเน่าเปื่อยของศพ อวัยวะภายในมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาก ดังนั้นการทำความสะอาดภายใน จึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ศพถูกรักษาให้คงทนได้ยาวนานขึ้น ดังนั้นในปลายราชวงศ์ที่สามแห่งอียิปต์โบราณ (ราว 2600 ปีก่อนคริสตศักราช) การล้วงตับล้วงไส้ ของศพ-ออกมาจึงเป็นกรรมวิธีสำคัญของนักแต่งศพชาวอียิปต์
ในหลุมฝังศพของราชินีที่สี่แห่งราชวงศ์อียิปต์โบราณ พระนาม “ราชินีเฮเตเฟเรส” (Hetepheres) ซึ่งเป็นพระชายาแห่งสเนฟรู (Snefru) หรือว่าเป็นพระชนนีของกษัตริย์คืออปส์ ได้มีการค้นพบภาชนะหินปูน ซึ่งภายในบรรจุอวัยวะภายในของราชินี แช่ไว้ด้วยของเหลวที่เรียกว่าเนตรอน (Natron) ซึ่งเป็นสารละลายของโซดาชนิดหนึ่ง เป็นที่น่าทึ่งที่ว่าภาชนะนี้มีการปิดผนึกอย่างดีจนของเหลวดังกล่าว อยู่ในนั้นได้เป็นเวลา 4000 ปี “ดอง” เครื่องในของพระราชินีให้คงสภาพไว้ได้อย่างนานแสนนาน
ในช่วงประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 4-5 (2570-2450 ปีก่อนคริสตศักราช) เทคนิคของการทำมัมมี่ได้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ อย่างมัมมี่ของเพตริค (Peric) ซึ่งค้นพบโดยนักอียิปต์วิทยาชาวอังกฤษชื่อ วิลเลี่ยม เอ็ม เอฟ เพตริค (William M.F.Petric) แสดงให้เห็นถึงเทคนิคของการทำมัมมี่ในยุคของราชวงศ์ที่ 5 ศพจะถูกพันมัดด้วยแถบผ้าลินินอย่างประณีต มีการแสดงถึงรูปลักษณะภายนอกด้วยยางสนชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความคงทนถาวรมาก ขนาดคิ้ว หรือหนวดของผู้ตายก็ยังแสดงออกให้เห็น สภาพมัมมี่อยู่ในลักษณะเหยียดตรงเต็มส่วนสูง อวัยวะภายในถูกคว้านออก มีการทำความสะอาดแล้วอัดให้แน่นด้วยก้อนผ้าลินินอาบน้ำยา เทคนิคต่างๆ ที่ใช้ก็มีผลในการรักษาอวัยวะทุกส่วนในร่างกายให้คงสภาพอยู่ได้อย่างถาวร แม้แต่รูปลักษณ์ที่ปรากฏภายนอกก็พยายามจัดทำให้คงสภาพไว้ (มัมมี่ของเพตริคนี้ได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่วิทยาลัยศัลกรรมหลวงในกรุงลอนดอน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าถูกทำลายไปในสงครามโลกคราวที่กรุงลอนดอนถูกโจมตีทางอากาศในปี ค.ศ. 1941)
หลักฐานมัมมี่มีอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงถึงความเจริญของวิชาการด้านนี้ในยุคราชวงศ์ที่ 5 ค้นพบโดยนักอียิปต์วิทยาชาวอเมริกันชื่อ ยอร์ช เอ ไรส์เนอร์ ซึ่งขุดเจอที่ปิรามิดแห่งกิซา จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่ามัมมี่ที่พบนี้เป็นศพของเยนตี้ (Yenty) อัครมหาเสนาบดีในยุคนั้น มัมมี่ได้ถูกประจุไว้ในโลงศพที่ทำด้วยหินแกรนิต ถึงแม้ว่าสภาพของมัมมี่จะถูกทำลายไปโดยฝีมือของคนร้ายที่ทำมาหากินกับการขุดสมบัติในสุสานของอียิปต์โบราณ แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยของเทคนิคชั้นสูงในการทำมัมมี่ให้เห็นอยู่ โดยเฉพาะเค้าหน้าของมัมมี่ถูกรักษาไว้ให้อยู่ในสภาพเดิมได้อย่างน่าทึ่ง
ที่นี้ก็มาถึงยุคราชวงศ์ที่ 6 บ้าง (ราวปี 2340 ก่อนคริสตศักราช) เริ่มมีการใช้ปูนปลาสเตอร์ฉาบหน้าหรือศีรษะบางทีก็พอกมัมมี่ทั้งตัว ใบหน้าที่พอกฉาบด้วยปลาสเตอร์มีการรเขียนและตกแต่งเป็นรูปใบหน้าอย่างสวยงาม หลังจากพอกหนัก ๆ เข้า สัปเหร่อปัญญาชนก็เลยมองเห็นลู่ทางอื่นในการตกแต่งใบหน้าของมัมมี่ ด้วยการทำเป็นหน้ากากสวม หน้ากากที่ว่านี้ทำด้วยสารคาร์ตันเนจ (Cartonnege) ซึ่งเป็นส่วนผสมของกระดาษปาปีรับ (Papyrus) ผ้า และปลาสเตอร์รวมกัน หน้ากากที่ทำนี้มีน้ำหนัก แข็งแรง และความคงทนมากกว่า รวมทั้งสามารถตกแต่งให้สวยงามได้ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าสมัยนั้นจะมีการทำหน้ากากคาร์ตันเนจออกขายหรือเปล่า ใครตายแล้วอยากจะสวมหน้ากากแบบไหนจะได้หาซื้อไว้ ภายหลังไม่ใช่แต่เฉพาะศีรษะหรือใบหน้าเท่านั้นที่ปกปิดไว้ด้วยหน้ากากคาร์ตันเนจ เทคนิคนี้ลามลงไปจนถึงปิดไปทั่วตัวและนี่คือที่มาของโลงศพรูปคน เทคนิคของมัมมี่ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในช่วงราว 2050-1990 ก่อนคริสตศักราช หรือที่เรียกว่าเป็นช่วงอาณาจักรยุคกลางของอียิปต์โบราณ
จวบจนถึงยุคอาณาจักรของพระเจ้าทีบส์ (Thebes) ในราว 1550 ปีก่อนคริสตศักราช เทคนิคของมัมมี่พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด นอกจากอวัยวะการภายในจะถูกนำออกมาแล้ว จัดกลับเข้าไปด้วยผ้าอาบน้ำยายังมีการดูดมันสมองออกจากกะโหลกอีกด้วย เทคนิคของการใช้สารเคมีต่าง ๆ มีมากขึ้น สารเคมีบางอย่างถูกฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อที่จะรักษาสภาพของผิวหนังให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลอยู่ได้นาน ๆ
จากการฝังศพลงไปในหลุมที่ขุดอย่างหยาบ ๆ ภายใต้พื้นทรายอันร้อนระอุค่อยเปลี่ยนแปลงมาเป็นหลุมที่มีการตกแต่งผนังให้ดูเรียบร้อยเหนือหลุมฝังศพก็มีการก่อสร้างจำลองเป็นรูปบ้าน ลักษณะของหลุมศพในยุคอียิปต์ต้น ๆ ค่อนข้างเล็ก ซึ่งคิดว่าศพคงต้องนอนคุดคู้อยู่ภายใน ต่อมาก็จึงเปลี่ยนมาเป็นหลุมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งกว้างยาวพอที่ศพจะนอนเหยียดได้อย่างเต็มที่ ต่อมาศพก็ค่อยเลื่อนขั้นขึ้น มีการบรรจุลงในหีบศพซึ่งมีทั้งหีบไม้ หินปูน จนถึงหินแข็งอย่างหินแกรนิต
ความคิดของชาวอียิปต์ ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ จากหีบศพที่เรียบ ๆ เริ่มมีการตกแต่งจัดทำรอบ ๆ หีบศพให้ดูมีลักษณะเหมือนพระราชวัง บวกกับความเชื่อถือทางศาสนา หีบศพบางอันจึงมีการเขียนรูปดวงดาวคู่หนึ่งไว้ด้วย ด้วยเกรงว่าเจ้าของหีบศพไม่สามารถทัศนาโลกภายนอกอันสดใสได้ ภายหลังหีบศพไม่เพียงแต่แกะสลักหรือวาดรูปแต่เฉพาะภายนอก แม้แต่ภายในก็มีการตกแต่งประดับประดาด้วยคงจะคิดว่าบ้านจะน่าอยู่ไม่ใช่แต่จะแต่งเฉพาะภายนอก ภายในก็ต้องหรูด้วย และสิ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คือ คำจารึกเหนือ -หีบศพ เป็นคำสวดอ้อนวอนขอให้พระเจ้าได้ช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ที่อยู่ในหลุมนั้นด้วย
แน่นอน ถ้าหีบศพเปรียบเสมือนบ้านก็คงจะมีแต่ตัวบ้านเฉย ๆ ไม่ได้ ก็มีการวาดภาพเครื่องใช้ เสื้อผ้า เครื่องมือ เฟอร์นิเจอร์ ตลอดจนอาวุธที่ใช้ป้องกันตัวบนแผ่นหินข้างหีบศพด้วย ทั้งนี้เพื่อเอาไว้ให้ผู้ตายได้ใช้สอย
จะเห็นว่าความคิดทีจะจัดเตรียมของใช้ต่าง ๆ ไว้ให้สำหรับคนตาย ยังมีอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ในพิธีกงเต๊กของคนจีน บรรดาเครื่องใช้ไม้สอยที่ทำด้วยกระดาษถูกเผาในพิธีเพื่อจัดส่งให้คนตายนำไปใช้ในภพหน้า และก้าวหน้าจนถึงขั้นในปัจจุบันนี้สิ่งที่เผาส่งไปให้นอกจากบ้านพร้อมที่ดิน แล้วยังมีรถคันใหญ่ ๆ (บางทีก็ระบุยี่ห้อเบนซ์หรือวอลโว่ลงไปด้วย) ที.วี. สีตลอดจนตู้เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า คิดว่าในอนาคตข้างหน้าโรงไฟฟ้าในเมืองผีมีหวังต้องขยายโรงงานแน่ และน้ำมันก็คงจะต้องขึ้นราคาเพราะใช้รถกันเยอะ
ต่อมาหีบศพก็เริ่มเปลี่ยนแปลงมาทำจำลองเป็นรูปคน มีการแกะสลักหน้าตาอวัยวะต่าง ๆ ส่วนใหญ่มักจะทำเป็นรูปคนยืนเหยียดตรง มือทั้งสองผสานไว้ที่หน้าอก หีบศพรูปคนเหล่านี้เก็บไว้ภายในหลุมฝังศพที่ก่อสร้างเป็นรูปอาคารอีกทีหนึ่งบางทีอาจมีหลาย ๆ หีบรวมอยู่ในหลุมเดียวกันก็ได้
ภายหลังเมื่อมีการคว้านเอาอวัยวะภายในของศพก่อนจะทำเป็นมัมมี่ อวัยวะเหล่านี้ก็ต้องถูกเก็บรักษาด้วย จึงจะต้องมีการจัดทำภาชนะเพื่อที่จะเก็บอวัยวะเครื่องในเหล่านี้ ภาชนะพวกนี้มีชื่อเฉพาะเรียกว่า คาโนปิค (Canopic) มาจากชื่อของคาโนปัส (Canopus) นักรบแห่งเมนาเลียส (Menaleus) ซึ่งศพของเขาถูกเก็บไว้ในภาชนะรูปทรงคล้ายตุ่ม (คือป่องกลาง) มีฝาครอบทำเป็นรูปหัวคน ด้วยเหตุนี้คาโนปิคจึงมีลักษณะคล้ายตุ่มมีฝาครอบ แต่มีทั้งหมด 4 ฝาด้วยกัน เนื่องจากตัวภาชนะบรรจุเครื่องในเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วนก็บรรจุอวัยวะสำคัญ 4 อย่าง ด้วยกันคือ ตับ กระเพาะ ปอดและลำไส้ใหญ่ (ถ้าเป็นเครื่องในหมูฟังแล้วชวนให้หิวข้าว) และ แต่ละช่วงที่บรรจุ -เครื่องในเหล่านี้ มีน้ำยาที่เรียกว่าเนตรอน (Natron) อยู่ด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่าอวัยวะดังกล่าว 4 อย่างนี้ไม่มีหัวใจอยู่ด้วย เนื่องจากนักแต่ศพชาวอียิปต์ถือว่า ห้ามควักหัวใจ-ออกจากตัวศพ
ในตอนต้น ๆ ฝาครอบหรือฝาปิดของคาโนปิคทำเหมือนๆ กันหมด ต่อต่อมาฝาครอบเหล่านี้เริ่มมีการแกะสลักเป็นรูปของ “ผู้คุ้มครองทั้ง 4” ซึ่งได้แก่อิมเซตี้ (Imsety) แกะสลักเป็นรูปหัวคน เดวาอุเตฟ (Dewau-mautef) แกะสลักเป็นรูปหัวหมา ฮาปิ (Hapy) แกะสลักเป็นรูปหัวลิงและสุดท้ายเคเบห์สเนเวท (Kebehsnewet) แกะสลักเป็นรูปหัวเหยี่ยว (แต่ละห่านล้วนแต่ออกชื่อยาก ๆ ทั้งนั้น ขออภัยด้วย) ผู้ปกป้องทั้งสี่ก็ดูแลอวัยวะสำคัญแต่ละอย่างไป สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่คนเป็นทำให้คนตายในความเชื่อถือของอียิปต์โบราณก็คือ “คนใช้” เพราะคิดว่าถึงแม้คนตายจะมีเครื่องใช้ไม้สอยที่จัดทำไว้ให้แล้วมากมาย แต่ถ้าขาดคนรับใช้ชีวิตก็คงไม่สุขสบายเท่าที่ควร ดังนั้นในพิธีศพสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือจัดหาคนใช้ให้กับผู้จากไปด้วย ในตอนแรก ๆ ก็ใช้วิธีการวาดภาพเอาต่อมาก็จัดทำเป็นรูปปั้นซึ่งอาจจะทำด้วยดินเหนียว สีผึ้ง หรือแกะสลักด้วยไม้ ต่อมาในราวยุคราชวงศ์ที่ 12 แห่งอียิปต์โบราณ ตัวแทนที่จะส่งไปเป็นคนรับใช้ของผู้ตาย ก็ทำเป็นรูปมัมมี่ด้วย มีการพันด้วยผ้าลินินและบรรจุไว้ในหีบศพจำลองขนาดเล็ก ๆ รูปลักษณ์เหล่านี้มีชื่อเรียกว่า “ชาวับติ” (Chawabti) ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้ขานรับ” เพื่อที่ว่ายามใดที่ต้องการใช้เมื่อเรียกขึ้นมาแล้ว ผู้รับใช้นี้ก็จะขานรับคำสั่ง ชาววับติมักทำเป็นรูปมัมมี่บางทีมือทั้ง 2 ข้างประสานไว้ที่อกหรือบางทีก็ทำเป็นรูปเครื่องมือต่าง ๆ เช่น จอบ เสียม ตะกร้า ให้ถือเอาไว้และสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือคำจารึกคำสวดที่พอจะแปลได้ตามความหมายว่า
“โอ..ชาวับติเจ้าเอ๋ย ถ้านาย..(ออกชื่อคนตาย) เรียกใช้เจ้าเมื่อไรไม่ว่าจะให้ทำไร่ไถนา ทดน้ำขนส่งทราย เพื่อเห็นแก่พระเจ้าก็ขอให้เจ้าขานรับว่า..ข้าพร้อมที่จะทำแล้วขอรับ”
จากความเชื่อของชนชาวอียิปต์โบราณในเรื่องของชีวิตหลังความตายว่าวันหนึ่งชีวิตนั้นจะกลับคืนมา เป็นแรงบันดาลใจให้ชาวอียิปต์โบราณคิดค้นหาวิธีจะรักษาร่างกายเอาไว้เพื่อรอการกลับมาชีวิตอีกครั้งหนึ่ง และชาวอียิปต์โบราณทำได้ด้วยวิทยาการสมัยโบราณ ที่แม้คนสมัยนี้ซึ่งเวลาได้ล่วงเลยมาแล้วสี่พันปีก็ยังต้องทึ่ง และจากการศึกษาเราทราบว่า กว่ามัมมี่จะวิวัฒนาการจนถึงสูงสุดของมัน มันก็ต้องใช้เวลาในการทำเหมือนกัน และถึงแม้จนถึงขีดสูงสุดของมันก็ต้องใช้เวลาในการพัฒนาเหมือนกัน และถึงแม้จนถึงปัจจุบันนี้มัมมี่จากหลุมตลอดจนจากปิรามิดต่างๆในอียิปต์ไม่มีสักร่างเดียวที่จะฟื้นขึ้นมาเพื่อบอกความลับในยุคนี้กับนักวิทยาศาสตร์ของเรา จากเรือนร่างที่คงทนต่อสู้กับ -ความเน่าเปื่อยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ก็พอเพียงแล้ว นักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีของเราพยายามอ่าน ถึงประวัติศาสตร์ในยุคและเดี๋ยวนี้วิทยาการทางด้านการวิเคราะห์ด้วยแสงเอกซเรย์ ทั้งแบบธรรมดา และ axial tomography ถูกนำมาใช้ด้วย ก็ยิ่งทำให้เราศึกษาและรู้เรื่องราว ของชนชาติอียิปต์โบราณได้มากยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านโบราณคดีหรือ -นิเวศน์วิทยา เช่น จากการศึกษามัมมี่ของเซเคเนนเรที่ 2 ของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ (Erhard Metnel) โดยการใช้แสงเอกซเรย์พบว่า สมองของเซเคเนเรที่ 2 ได้รับบาดเจ็บจากรอยแผลที่เกิดขวาน ซึ่งตามประวัติศาสตร์ระบุว่าเขาบาดเจ็บจากสนามรบและพบต่อไปว่าแขนข้างหนึ่งของเขาเป็นอัมพาตไปซึ่งก็คงเนื่องจากบาดแผลที่สมอง แต่จากการวิเคราะห์ที่ละเอียดพบว่ามีบาดแผลที่เกิดจากหอกปรากฏอยู่ที่หลังใบหูซ้าย จึงช่วยสงสัยว่าเซเคเนนเรที่ 2 อาจถูกลอบสังหารทางข้างหลังก็ได้
นอกจากนี้การศึกษาด้วยแสงเอกซเรย์ทำให้เรารู้ว่าฟาโรห์แต่ละคนในอดีตมีสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง เช่น เราสามารถนึกถึงภาพว่าฟาโรห์ซิบตาห์ (Siphtah) คงจะไม่สามารถเสด็จไปไหนมาไหนด้วย ลำพังพระองค์เองหรือไม่ก็อาจจะต้องมีไม้เท้ายัน เพราะจากแสดงเอ็กเรย์พบว่าฟาโรห์ซิปตาห์เป็นโรคโปลิโอ หรือนึกถึงภาพของฟาโรห์ราเมเสสที่ 2 (Ramessesll) พระองค์ต้องเป็นคนที่แข็งแรงกระฉับกระเฉงเพราะตรวจพบว่าพระองค์มีเส้นโลหิตที่แข็งแรงมาก แถมฟันก็คงทนถาวร รับกับประวัติศาสตร์ที่ระบุว่าฟาโรห์ราเมเสสที่ 2 มีชีวิตยืนยาวถึง 90 ปีโดยสิ้นพระชนม์ในปี 1216 ก่อนคริสตศักราช
หรือจากการวิเคราะห์ซากมัมมี่นิรนามที่เรียกว่า PUM ll (มัมมี่ตัวที่ 2 ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย) พบว่ามัมมี่ตัวนี้เป็นโรคปอดซึ่งเกิดจากสารคาร์บอนและซิลิกาที่เกาะแน่นสะสมอยู่ ซึ่งก็พอจะเชื่อได้ว่าชาวอียิปต์โบราณคงจะเป็นโรคปอดกันมากอันเนื่องมาจากต้องสูดหายใจเอาละอองทรายและเศษผงของหินเข้าปอดเป็นประจำส่วนคาร์บอนที่ค้นพบในปอด ก็สันนิษฐานว่ามาจากควันของการก่อกองไฟ และจากควันของตะเกียงน้ำมัน
ใน PUM ll ยังค้นพบไข่ของพยาธิตัวกลมอีกด้วย (บางท่านอาจจะสงสัยว่าไข่ของพยาธิทำไมถึงอยู่อึดนักทนอยู่ได้เป็นเวลาตั้งหลายพันปี ทั้งนี้เนื่องมาจากยางที่สัปเหร่อปัญญาชนใช้ในการรักษาศพมัมมี่มีผลทำให้ไข่ของพยาธิเหล่านี้ถูกรักษาเอาไว้ได้ด้วย) ซึ่งพยาธิตัวกลมนี้เป็นพยาธิที่พบได้ทั่วไปในประเทศร้อนซึ่งมีลักษณะดินชื้น และไข่ของมันแพร่หลายได้ดีโดยติดไปกับอุจจาระ แสดงว่าสุขาภิบาลในยุคของอียิปต์โบราณก็ยังไม่ดีนัก
นอกจากนี้การใช้เทคนิคของแสงเอกซเรย์ ยังเป็นการช่วยลำดับญาติโกโหติกาของฟาโรห์ในประวัติศาสตร์อีกด้วย อย่างเช่นจากการวิเคราะห์ของอาจารย์เจมส์ อี. แฮร์ริส (James E. Harris) แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนด้วยการใช้เทคนิคการฉายแสงเอกซเรย์เพื่อถ่ายภาพของกะโหลกศีรษะในรูปของ 3 มิติพบว่ามัมมี่ตัวหนึ่งที่ขุดพบในหลุมฝังศพของฟาโรห์อมุนโฮเตปที่ 2 (Amunhotep ll ) ซึ่งเดิมทีไม่ทราบว่าเป็นมัมมี่ของใคร จากการวิเคราะห์นี้เขาลงความเห็นว่ามัมมี่นี้คือราชินีไทย (Tiye) ก็คือพระชายาของฟาโรห์อมุนโฮเตปที่ 2 เนื่องจากมีการเปรียบเทียบโครงสร้างของกะโหลกศีรษะของพระนางกับพ่อแม่ และเมื่อยิ่งมีการวิเคราะห์สารเคมี ในเส้นผมเปรียบเทียบกับเส้นผมที่เก็บไว้ในล็อคเกตซึ่งฝังไว้ในหลุมศพของตุตันคามัน (Tutankhamun) พระญาติของเธอด้วยแล้ว ยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่
มัมมี่ในสุสานแห่งอียิปต์โบราณไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับนักโบราณคดีเท่านั้น แต่ยังเป็นยอดสนใจของเหล่ามิจฉาชีพที่ต้องการจะค้นหาสมบัติจากมัมมี่และสุสานที่ฝังอีกด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือพวกเหล่านี้หากินกับผีทั้ง ๆ ที่สถานที่เหล่านั้นวังเวง ลึกลับ น่าสะพรึงกลัว แต่ความโลภซะอย่างสามารถทำอะไรต่อมิอะไรก็ได้ แม้แต่จะเลื่อยเศียรพระพุทธรูปแบบที่เราเคยเห็นมาแล้วหลายรายโดยไม่เกรงกลัวต่อบาปต่อกรรม
ที่มา http://school.obec.go.th/nkwy/tiplearn/old/pages/mummi.htm
แม้จะมีการศึกษาเรื่องราวของมัมมี่มาเป็นเวลานานแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันนี้การศึกษาความลับของมัมมี่ก็ยังคงกระทำอยู่ เพราะวิทยาการที่สูงขื้น เครื่องไม้เครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพขึ้น ยิ่งทำให้สามารถเจาะลึกเข้าไปสู่ความลับในประวัติศาสตร์นี้ได้มากขึ้น เราสามารถเห็นนักวิทยาศาสตร์ และนักโบราณคดีเป็นจำนวนมากก้มหน้าก้มตาศึกษา -เรื่องราวของมัมมี่อย่างจริงจัง เช่น ที่โรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ที่พิพิธภัณฑ์ศูนย์วิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งโบราณคดี ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย หรือว่า ที่สถาบัน -ศิลปศาสตร์แห่งเมืองดิทรอยท์ เป็นต้น การศึกษานอกจากจะใช้วิธีผ่าศพมัมมี่โดยตรงก็ยังมีการนำเอาระบบการถ่ายภาพจากแสงเอกซเรย์ 3 มิติ ที่เรียกว่า “Computerized Axial Tomography (CAT)“ มาใช้ซึ่งนอกจากจะไม่ต้องทำลายมัมมี่ที่ใช้ศึกษาอยู่แล้ว ยังสามารถให้รายละเอียดได้อย่างชัดเจนด้วย
จากความเชื่อของมนุษย์นับเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปีมาแล้ว เกี่ยวกับเรื่องของร่างกาย และวิญญาณ โดยที่เชื่อว่าการตายก็คือการที่วิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างที่เคยอาศัยอยู่ ความเชื่อถือของชาวอียิปต์โบราณ คิดว่าวิญญาณที่ได้หลุดลอยออกจากร่างเมื่อถึงเวลาหนึ่งได้เข้าไปสู่โลกอีกโลกหนึ่งซึ่งอาจจะเรียกว่า “โลกของพระเจ้า” และในวันหนึ่งข้างหน้าวิญญาณนั้นก็จะกลับมา ข้อสำคัญเมื่อวิญญาณกลับมาแล้วก็ต้องอาศัยร่างกายอยู่ และร่างกายที่จะอาศัยอยู่ได้ก็คงจะต้องเป็นร่างกายของตนเองซึ่งครั้งหนึ่งตนได้เคยอาศัยอยู่แล้ว จากความเชื่อถือนี้ การรักษาร่างกายให้คงสภาพไว้เพื่อรอการกลับมาของเจ้าของเดิมจึงเป็นสิ่งที่ชาวอียิปต์โบราณหาวิธีการทีจะทำให้ได้
ทุกสิ่งมีวิวัฒนาการ มัมมี่ก็เช่นกันในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณร่างกายของคนตายได้ถูกห่อไว้ด้วยผ้าหรือเสื่ออย่างลวก ๆ และถูกฝังไว้ในหลุมแคบ ๆ ภายใต้พื้นทรายลึกลงไปไม่กี่ฟุต หลุมที่ฝังก็อาจจะขุดกันอย่างหยาบ ๆ อาจจะมีการก่ออิฐหรือปูด้วย ไม้กระดานบ้าง แต่ก็ไม่มีศิลปะอะไร การฝังศพแบบนี้ชาวอียิปต์ในยุคนั้นก็ได้พบ-ความจริงข้อหนึ่งว่า ภายใต้ความร้อนระอุของพื้นทรายที่ถูกแสงแดดอันแรงกล้าเผาอยู่ตลอดเวลาศพภายในหลุมหยาบ ๆ นั้นมีสภาพเหมือนถูกอบหรือตากแห้ง และมีผลทำให้ศพนั้น ยังคงสภาพอยู่ได้เป็นเวลานาน การที่ศพไม่เน่าเปื่อยและจากความคิดความเชื่อถือที่ว่าวันหนึ่งวิญญาณที่จากไปก็จะกลับคืนมาอีก ญาติพี่น้องก็เลยกลัวว่าถ้าศพฟื้นขึ้นมาเมี่อไรก็อาจจะกลายเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกไปก็ได้ ก็เลยฝังพวกหม้อข้าวหม้อแกง เพชรพลอยหรือแม้แต่เครื่องใช้เครื่องมือในการทำมาหากินเอาไว้ให้ด้วย
เมื่อนานวันเข้า ความตายเป็นสิ่งมนุษย์เริ่มพิถีพิถันกันกับมัน พิธีรีตองเกี่ยวกับคนตายก็ชักจะมีมากขึ้นหลุมฝังศพชนิดที่ว่าสักแต่ขุดให้มันเป็นรูปเป็นโพรงก็ชักจะไม่เข้าทีเสียแล้ว หลุมศพจึงเริ่มพัฒนาตัวมันเอง เริ่มจากการที่ต้องขุดอย่างมีศิลปะ มีการก่ออิฐทำผนังหลุม และก็พยายามจัดทำให้เหมือนกับเป็นห้องๆ หนึ่ง และเพื่อให้คนตายได้นอนอย่างสบาย ๆ เหยียดแข้งเหยียดขาได้เต็มที่แทนที่จะต้องถูกมัดให้คุดคู้อยู่ในหลุมรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งผู้ตายพูดได้ก็คงจะบ่นว่าอึดอัดเหลือทน หลุมที่ฝังก็เลยแปรเปลี่ยนมาเป็นลักษณะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ศพเลยสามารถที่จะเหยียดร่างได้เต็มที่ ไม่จบเพียงแค่นั้น เพื่อให้คนตายมีความรู้สึกว่าอาศัยอยู่ในบ้านจริง เหนือหลุมฝังศพก็เลยต้องก่อสร้างให้รูป -ทรงคล้ายกับบ้าน มีหลังคามีฝาผนังทำนองนั้น ที่มีฐานะหน่อยก็อาจจะสร้างให้คล้ายๆ กับวังไปเลย เมื่อหลุมศพถูกวิวัฒนาการมาเป็นอย่างนั้น ศพที่เคยถูก “อบแห้ง” โดยธรรมชาติภายใต้ผิวทรายร้อน ๆ ก็เลยเป็นอันว่าจบกัน ปัญหาเรื่องศพเน่าเปื่อยก็เลยตามมา
ในยุคของราชวงศ์อียิปต์แรก ๆ (ก็ราวๆ เกือบ 3000 ปีก่อนคริสตศักราช) ศพจะถูกห่อ และมัดอย่างแน่นหนาด้วยผ้าลินินซึ่งอาบน้ำยา ศพถูกห่อไว้ด้วยผ้าหนามากจนแลดูกลมกะลุกปุ๊ก ถ้าจะเรียกว่ามัมมี่ก็คงเป็นมัมมี่ตุ๊ต๊ะ
ล่วงเลยมาจนถึงราชวงศ์ที่สองแห่งอียิปต์ (ประมาณ 2800 ปีก่อนคริสตศักราช) ความพยายามที่จะแต่งตัวให้มัมมี่ดูหล่อขึ้นก็เริ่มกันตอนนี้ มีการห่อศพด้วยผ้าลินินชุบน้ำยาอย่างพิถีพิถัน การห่อก็ไม่ใช่สักแต่ว่าห่อ ๆ ไป มีการพัวหัวพันขาแขน หรือพันรอบหน้าอก หน้าท้องเป็นส่วน ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือพันให้เห็นเป็นรูปทรงของคนไม่ใช่พันแบบให้ต้องเดาว่าภายในห่อผ้านั้นเป็นหมูหรือเป็นคน แม้แต่นิ้วมือนิ้วเท้าก็พยายามพันเน้นให้เห็นนิ้วทั้ง 5 (จะได้ไม่เข้าใจผิดว่าก่อนตายอ้ายหมอนี่นิ้วด้วนหรือเปล่า)
ความพยายามของการศึกษาของนักแต่งศพชาวอียิปต์ ค้นพบว่าสาเหตุของการเน่าเปื่อยของศพ อวัยวะภายในมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาก ดังนั้นการทำความสะอาดภายใน จึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ศพถูกรักษาให้คงทนได้ยาวนานขึ้น ดังนั้นในปลายราชวงศ์ที่สามแห่งอียิปต์โบราณ (ราว 2600 ปีก่อนคริสตศักราช) การล้วงตับล้วงไส้ ของศพ-ออกมาจึงเป็นกรรมวิธีสำคัญของนักแต่งศพชาวอียิปต์
ในหลุมฝังศพของราชินีที่สี่แห่งราชวงศ์อียิปต์โบราณ พระนาม “ราชินีเฮเตเฟเรส” (Hetepheres) ซึ่งเป็นพระชายาแห่งสเนฟรู (Snefru) หรือว่าเป็นพระชนนีของกษัตริย์คืออปส์ ได้มีการค้นพบภาชนะหินปูน ซึ่งภายในบรรจุอวัยวะภายในของราชินี แช่ไว้ด้วยของเหลวที่เรียกว่าเนตรอน (Natron) ซึ่งเป็นสารละลายของโซดาชนิดหนึ่ง เป็นที่น่าทึ่งที่ว่าภาชนะนี้มีการปิดผนึกอย่างดีจนของเหลวดังกล่าว อยู่ในนั้นได้เป็นเวลา 4000 ปี “ดอง” เครื่องในของพระราชินีให้คงสภาพไว้ได้อย่างนานแสนนาน
ในช่วงประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 4-5 (2570-2450 ปีก่อนคริสตศักราช) เทคนิคของการทำมัมมี่ได้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ อย่างมัมมี่ของเพตริค (Peric) ซึ่งค้นพบโดยนักอียิปต์วิทยาชาวอังกฤษชื่อ วิลเลี่ยม เอ็ม เอฟ เพตริค (William M.F.Petric) แสดงให้เห็นถึงเทคนิคของการทำมัมมี่ในยุคของราชวงศ์ที่ 5 ศพจะถูกพันมัดด้วยแถบผ้าลินินอย่างประณีต มีการแสดงถึงรูปลักษณะภายนอกด้วยยางสนชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความคงทนถาวรมาก ขนาดคิ้ว หรือหนวดของผู้ตายก็ยังแสดงออกให้เห็น สภาพมัมมี่อยู่ในลักษณะเหยียดตรงเต็มส่วนสูง อวัยวะภายในถูกคว้านออก มีการทำความสะอาดแล้วอัดให้แน่นด้วยก้อนผ้าลินินอาบน้ำยา เทคนิคต่างๆ ที่ใช้ก็มีผลในการรักษาอวัยวะทุกส่วนในร่างกายให้คงสภาพอยู่ได้อย่างถาวร แม้แต่รูปลักษณ์ที่ปรากฏภายนอกก็พยายามจัดทำให้คงสภาพไว้ (มัมมี่ของเพตริคนี้ได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่วิทยาลัยศัลกรรมหลวงในกรุงลอนดอน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าถูกทำลายไปในสงครามโลกคราวที่กรุงลอนดอนถูกโจมตีทางอากาศในปี ค.ศ. 1941)
หลักฐานมัมมี่มีอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงถึงความเจริญของวิชาการด้านนี้ในยุคราชวงศ์ที่ 5 ค้นพบโดยนักอียิปต์วิทยาชาวอเมริกันชื่อ ยอร์ช เอ ไรส์เนอร์ ซึ่งขุดเจอที่ปิรามิดแห่งกิซา จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่ามัมมี่ที่พบนี้เป็นศพของเยนตี้ (Yenty) อัครมหาเสนาบดีในยุคนั้น มัมมี่ได้ถูกประจุไว้ในโลงศพที่ทำด้วยหินแกรนิต ถึงแม้ว่าสภาพของมัมมี่จะถูกทำลายไปโดยฝีมือของคนร้ายที่ทำมาหากินกับการขุดสมบัติในสุสานของอียิปต์โบราณ แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยของเทคนิคชั้นสูงในการทำมัมมี่ให้เห็นอยู่ โดยเฉพาะเค้าหน้าของมัมมี่ถูกรักษาไว้ให้อยู่ในสภาพเดิมได้อย่างน่าทึ่ง
ที่นี้ก็มาถึงยุคราชวงศ์ที่ 6 บ้าง (ราวปี 2340 ก่อนคริสตศักราช) เริ่มมีการใช้ปูนปลาสเตอร์ฉาบหน้าหรือศีรษะบางทีก็พอกมัมมี่ทั้งตัว ใบหน้าที่พอกฉาบด้วยปลาสเตอร์มีการรเขียนและตกแต่งเป็นรูปใบหน้าอย่างสวยงาม หลังจากพอกหนัก ๆ เข้า สัปเหร่อปัญญาชนก็เลยมองเห็นลู่ทางอื่นในการตกแต่งใบหน้าของมัมมี่ ด้วยการทำเป็นหน้ากากสวม หน้ากากที่ว่านี้ทำด้วยสารคาร์ตันเนจ (Cartonnege) ซึ่งเป็นส่วนผสมของกระดาษปาปีรับ (Papyrus) ผ้า และปลาสเตอร์รวมกัน หน้ากากที่ทำนี้มีน้ำหนัก แข็งแรง และความคงทนมากกว่า รวมทั้งสามารถตกแต่งให้สวยงามได้ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าสมัยนั้นจะมีการทำหน้ากากคาร์ตันเนจออกขายหรือเปล่า ใครตายแล้วอยากจะสวมหน้ากากแบบไหนจะได้หาซื้อไว้ ภายหลังไม่ใช่แต่เฉพาะศีรษะหรือใบหน้าเท่านั้นที่ปกปิดไว้ด้วยหน้ากากคาร์ตันเนจ เทคนิคนี้ลามลงไปจนถึงปิดไปทั่วตัวและนี่คือที่มาของโลงศพรูปคน เทคนิคของมัมมี่ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในช่วงราว 2050-1990 ก่อนคริสตศักราช หรือที่เรียกว่าเป็นช่วงอาณาจักรยุคกลางของอียิปต์โบราณ
จวบจนถึงยุคอาณาจักรของพระเจ้าทีบส์ (Thebes) ในราว 1550 ปีก่อนคริสตศักราช เทคนิคของมัมมี่พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด นอกจากอวัยวะการภายในจะถูกนำออกมาแล้ว จัดกลับเข้าไปด้วยผ้าอาบน้ำยายังมีการดูดมันสมองออกจากกะโหลกอีกด้วย เทคนิคของการใช้สารเคมีต่าง ๆ มีมากขึ้น สารเคมีบางอย่างถูกฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อที่จะรักษาสภาพของผิวหนังให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลอยู่ได้นาน ๆ
จากการฝังศพลงไปในหลุมที่ขุดอย่างหยาบ ๆ ภายใต้พื้นทรายอันร้อนระอุค่อยเปลี่ยนแปลงมาเป็นหลุมที่มีการตกแต่งผนังให้ดูเรียบร้อยเหนือหลุมฝังศพก็มีการก่อสร้างจำลองเป็นรูปบ้าน ลักษณะของหลุมศพในยุคอียิปต์ต้น ๆ ค่อนข้างเล็ก ซึ่งคิดว่าศพคงต้องนอนคุดคู้อยู่ภายใน ต่อมาก็จึงเปลี่ยนมาเป็นหลุมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งกว้างยาวพอที่ศพจะนอนเหยียดได้อย่างเต็มที่ ต่อมาศพก็ค่อยเลื่อนขั้นขึ้น มีการบรรจุลงในหีบศพซึ่งมีทั้งหีบไม้ หินปูน จนถึงหินแข็งอย่างหินแกรนิต
ความคิดของชาวอียิปต์ ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ จากหีบศพที่เรียบ ๆ เริ่มมีการตกแต่งจัดทำรอบ ๆ หีบศพให้ดูมีลักษณะเหมือนพระราชวัง บวกกับความเชื่อถือทางศาสนา หีบศพบางอันจึงมีการเขียนรูปดวงดาวคู่หนึ่งไว้ด้วย ด้วยเกรงว่าเจ้าของหีบศพไม่สามารถทัศนาโลกภายนอกอันสดใสได้ ภายหลังหีบศพไม่เพียงแต่แกะสลักหรือวาดรูปแต่เฉพาะภายนอก แม้แต่ภายในก็มีการตกแต่งประดับประดาด้วยคงจะคิดว่าบ้านจะน่าอยู่ไม่ใช่แต่จะแต่งเฉพาะภายนอก ภายในก็ต้องหรูด้วย และสิ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คือ คำจารึกเหนือ -หีบศพ เป็นคำสวดอ้อนวอนขอให้พระเจ้าได้ช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ที่อยู่ในหลุมนั้นด้วย
แน่นอน ถ้าหีบศพเปรียบเสมือนบ้านก็คงจะมีแต่ตัวบ้านเฉย ๆ ไม่ได้ ก็มีการวาดภาพเครื่องใช้ เสื้อผ้า เครื่องมือ เฟอร์นิเจอร์ ตลอดจนอาวุธที่ใช้ป้องกันตัวบนแผ่นหินข้างหีบศพด้วย ทั้งนี้เพื่อเอาไว้ให้ผู้ตายได้ใช้สอย
จะเห็นว่าความคิดทีจะจัดเตรียมของใช้ต่าง ๆ ไว้ให้สำหรับคนตาย ยังมีอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ในพิธีกงเต๊กของคนจีน บรรดาเครื่องใช้ไม้สอยที่ทำด้วยกระดาษถูกเผาในพิธีเพื่อจัดส่งให้คนตายนำไปใช้ในภพหน้า และก้าวหน้าจนถึงขั้นในปัจจุบันนี้สิ่งที่เผาส่งไปให้นอกจากบ้านพร้อมที่ดิน แล้วยังมีรถคันใหญ่ ๆ (บางทีก็ระบุยี่ห้อเบนซ์หรือวอลโว่ลงไปด้วย) ที.วี. สีตลอดจนตู้เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า คิดว่าในอนาคตข้างหน้าโรงไฟฟ้าในเมืองผีมีหวังต้องขยายโรงงานแน่ และน้ำมันก็คงจะต้องขึ้นราคาเพราะใช้รถกันเยอะ
ต่อมาหีบศพก็เริ่มเปลี่ยนแปลงมาทำจำลองเป็นรูปคน มีการแกะสลักหน้าตาอวัยวะต่าง ๆ ส่วนใหญ่มักจะทำเป็นรูปคนยืนเหยียดตรง มือทั้งสองผสานไว้ที่หน้าอก หีบศพรูปคนเหล่านี้เก็บไว้ภายในหลุมฝังศพที่ก่อสร้างเป็นรูปอาคารอีกทีหนึ่งบางทีอาจมีหลาย ๆ หีบรวมอยู่ในหลุมเดียวกันก็ได้
ภายหลังเมื่อมีการคว้านเอาอวัยวะภายในของศพก่อนจะทำเป็นมัมมี่ อวัยวะเหล่านี้ก็ต้องถูกเก็บรักษาด้วย จึงจะต้องมีการจัดทำภาชนะเพื่อที่จะเก็บอวัยวะเครื่องในเหล่านี้ ภาชนะพวกนี้มีชื่อเฉพาะเรียกว่า คาโนปิค (Canopic) มาจากชื่อของคาโนปัส (Canopus) นักรบแห่งเมนาเลียส (Menaleus) ซึ่งศพของเขาถูกเก็บไว้ในภาชนะรูปทรงคล้ายตุ่ม (คือป่องกลาง) มีฝาครอบทำเป็นรูปหัวคน ด้วยเหตุนี้คาโนปิคจึงมีลักษณะคล้ายตุ่มมีฝาครอบ แต่มีทั้งหมด 4 ฝาด้วยกัน เนื่องจากตัวภาชนะบรรจุเครื่องในเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วนก็บรรจุอวัยวะสำคัญ 4 อย่าง ด้วยกันคือ ตับ กระเพาะ ปอดและลำไส้ใหญ่ (ถ้าเป็นเครื่องในหมูฟังแล้วชวนให้หิวข้าว) และ แต่ละช่วงที่บรรจุ -เครื่องในเหล่านี้ มีน้ำยาที่เรียกว่าเนตรอน (Natron) อยู่ด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่าอวัยวะดังกล่าว 4 อย่างนี้ไม่มีหัวใจอยู่ด้วย เนื่องจากนักแต่ศพชาวอียิปต์ถือว่า ห้ามควักหัวใจ-ออกจากตัวศพ
ในตอนต้น ๆ ฝาครอบหรือฝาปิดของคาโนปิคทำเหมือนๆ กันหมด ต่อต่อมาฝาครอบเหล่านี้เริ่มมีการแกะสลักเป็นรูปของ “ผู้คุ้มครองทั้ง 4” ซึ่งได้แก่อิมเซตี้ (Imsety) แกะสลักเป็นรูปหัวคน เดวาอุเตฟ (Dewau-mautef) แกะสลักเป็นรูปหัวหมา ฮาปิ (Hapy) แกะสลักเป็นรูปหัวลิงและสุดท้ายเคเบห์สเนเวท (Kebehsnewet) แกะสลักเป็นรูปหัวเหยี่ยว (แต่ละห่านล้วนแต่ออกชื่อยาก ๆ ทั้งนั้น ขออภัยด้วย) ผู้ปกป้องทั้งสี่ก็ดูแลอวัยวะสำคัญแต่ละอย่างไป สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่คนเป็นทำให้คนตายในความเชื่อถือของอียิปต์โบราณก็คือ “คนใช้” เพราะคิดว่าถึงแม้คนตายจะมีเครื่องใช้ไม้สอยที่จัดทำไว้ให้แล้วมากมาย แต่ถ้าขาดคนรับใช้ชีวิตก็คงไม่สุขสบายเท่าที่ควร ดังนั้นในพิธีศพสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือจัดหาคนใช้ให้กับผู้จากไปด้วย ในตอนแรก ๆ ก็ใช้วิธีการวาดภาพเอาต่อมาก็จัดทำเป็นรูปปั้นซึ่งอาจจะทำด้วยดินเหนียว สีผึ้ง หรือแกะสลักด้วยไม้ ต่อมาในราวยุคราชวงศ์ที่ 12 แห่งอียิปต์โบราณ ตัวแทนที่จะส่งไปเป็นคนรับใช้ของผู้ตาย ก็ทำเป็นรูปมัมมี่ด้วย มีการพันด้วยผ้าลินินและบรรจุไว้ในหีบศพจำลองขนาดเล็ก ๆ รูปลักษณ์เหล่านี้มีชื่อเรียกว่า “ชาวับติ” (Chawabti) ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้ขานรับ” เพื่อที่ว่ายามใดที่ต้องการใช้เมื่อเรียกขึ้นมาแล้ว ผู้รับใช้นี้ก็จะขานรับคำสั่ง ชาววับติมักทำเป็นรูปมัมมี่บางทีมือทั้ง 2 ข้างประสานไว้ที่อกหรือบางทีก็ทำเป็นรูปเครื่องมือต่าง ๆ เช่น จอบ เสียม ตะกร้า ให้ถือเอาไว้และสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือคำจารึกคำสวดที่พอจะแปลได้ตามความหมายว่า
“โอ..ชาวับติเจ้าเอ๋ย ถ้านาย..(ออกชื่อคนตาย) เรียกใช้เจ้าเมื่อไรไม่ว่าจะให้ทำไร่ไถนา ทดน้ำขนส่งทราย เพื่อเห็นแก่พระเจ้าก็ขอให้เจ้าขานรับว่า..ข้าพร้อมที่จะทำแล้วขอรับ”
จากความเชื่อของชนชาวอียิปต์โบราณในเรื่องของชีวิตหลังความตายว่าวันหนึ่งชีวิตนั้นจะกลับคืนมา เป็นแรงบันดาลใจให้ชาวอียิปต์โบราณคิดค้นหาวิธีจะรักษาร่างกายเอาไว้เพื่อรอการกลับมาชีวิตอีกครั้งหนึ่ง และชาวอียิปต์โบราณทำได้ด้วยวิทยาการสมัยโบราณ ที่แม้คนสมัยนี้ซึ่งเวลาได้ล่วงเลยมาแล้วสี่พันปีก็ยังต้องทึ่ง และจากการศึกษาเราทราบว่า กว่ามัมมี่จะวิวัฒนาการจนถึงสูงสุดของมัน มันก็ต้องใช้เวลาในการทำเหมือนกัน และถึงแม้จนถึงขีดสูงสุดของมันก็ต้องใช้เวลาในการพัฒนาเหมือนกัน และถึงแม้จนถึงปัจจุบันนี้มัมมี่จากหลุมตลอดจนจากปิรามิดต่างๆในอียิปต์ไม่มีสักร่างเดียวที่จะฟื้นขึ้นมาเพื่อบอกความลับในยุคนี้กับนักวิทยาศาสตร์ของเรา จากเรือนร่างที่คงทนต่อสู้กับ -ความเน่าเปื่อยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ก็พอเพียงแล้ว นักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีของเราพยายามอ่าน ถึงประวัติศาสตร์ในยุคและเดี๋ยวนี้วิทยาการทางด้านการวิเคราะห์ด้วยแสงเอกซเรย์ ทั้งแบบธรรมดา และ axial tomography ถูกนำมาใช้ด้วย ก็ยิ่งทำให้เราศึกษาและรู้เรื่องราว ของชนชาติอียิปต์โบราณได้มากยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านโบราณคดีหรือ -นิเวศน์วิทยา เช่น จากการศึกษามัมมี่ของเซเคเนนเรที่ 2 ของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ (Erhard Metnel) โดยการใช้แสงเอกซเรย์พบว่า สมองของเซเคเนเรที่ 2 ได้รับบาดเจ็บจากรอยแผลที่เกิดขวาน ซึ่งตามประวัติศาสตร์ระบุว่าเขาบาดเจ็บจากสนามรบและพบต่อไปว่าแขนข้างหนึ่งของเขาเป็นอัมพาตไปซึ่งก็คงเนื่องจากบาดแผลที่สมอง แต่จากการวิเคราะห์ที่ละเอียดพบว่ามีบาดแผลที่เกิดจากหอกปรากฏอยู่ที่หลังใบหูซ้าย จึงช่วยสงสัยว่าเซเคเนนเรที่ 2 อาจถูกลอบสังหารทางข้างหลังก็ได้
นอกจากนี้การศึกษาด้วยแสงเอกซเรย์ทำให้เรารู้ว่าฟาโรห์แต่ละคนในอดีตมีสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง เช่น เราสามารถนึกถึงภาพว่าฟาโรห์ซิบตาห์ (Siphtah) คงจะไม่สามารถเสด็จไปไหนมาไหนด้วย ลำพังพระองค์เองหรือไม่ก็อาจจะต้องมีไม้เท้ายัน เพราะจากแสดงเอ็กเรย์พบว่าฟาโรห์ซิปตาห์เป็นโรคโปลิโอ หรือนึกถึงภาพของฟาโรห์ราเมเสสที่ 2 (Ramessesll) พระองค์ต้องเป็นคนที่แข็งแรงกระฉับกระเฉงเพราะตรวจพบว่าพระองค์มีเส้นโลหิตที่แข็งแรงมาก แถมฟันก็คงทนถาวร รับกับประวัติศาสตร์ที่ระบุว่าฟาโรห์ราเมเสสที่ 2 มีชีวิตยืนยาวถึง 90 ปีโดยสิ้นพระชนม์ในปี 1216 ก่อนคริสตศักราช
หรือจากการวิเคราะห์ซากมัมมี่นิรนามที่เรียกว่า PUM ll (มัมมี่ตัวที่ 2 ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย) พบว่ามัมมี่ตัวนี้เป็นโรคปอดซึ่งเกิดจากสารคาร์บอนและซิลิกาที่เกาะแน่นสะสมอยู่ ซึ่งก็พอจะเชื่อได้ว่าชาวอียิปต์โบราณคงจะเป็นโรคปอดกันมากอันเนื่องมาจากต้องสูดหายใจเอาละอองทรายและเศษผงของหินเข้าปอดเป็นประจำส่วนคาร์บอนที่ค้นพบในปอด ก็สันนิษฐานว่ามาจากควันของการก่อกองไฟ และจากควันของตะเกียงน้ำมัน
ใน PUM ll ยังค้นพบไข่ของพยาธิตัวกลมอีกด้วย (บางท่านอาจจะสงสัยว่าไข่ของพยาธิทำไมถึงอยู่อึดนักทนอยู่ได้เป็นเวลาตั้งหลายพันปี ทั้งนี้เนื่องมาจากยางที่สัปเหร่อปัญญาชนใช้ในการรักษาศพมัมมี่มีผลทำให้ไข่ของพยาธิเหล่านี้ถูกรักษาเอาไว้ได้ด้วย) ซึ่งพยาธิตัวกลมนี้เป็นพยาธิที่พบได้ทั่วไปในประเทศร้อนซึ่งมีลักษณะดินชื้น และไข่ของมันแพร่หลายได้ดีโดยติดไปกับอุจจาระ แสดงว่าสุขาภิบาลในยุคของอียิปต์โบราณก็ยังไม่ดีนัก
นอกจากนี้การใช้เทคนิคของแสงเอกซเรย์ ยังเป็นการช่วยลำดับญาติโกโหติกาของฟาโรห์ในประวัติศาสตร์อีกด้วย อย่างเช่นจากการวิเคราะห์ของอาจารย์เจมส์ อี. แฮร์ริส (James E. Harris) แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนด้วยการใช้เทคนิคการฉายแสงเอกซเรย์เพื่อถ่ายภาพของกะโหลกศีรษะในรูปของ 3 มิติพบว่ามัมมี่ตัวหนึ่งที่ขุดพบในหลุมฝังศพของฟาโรห์อมุนโฮเตปที่ 2 (Amunhotep ll ) ซึ่งเดิมทีไม่ทราบว่าเป็นมัมมี่ของใคร จากการวิเคราะห์นี้เขาลงความเห็นว่ามัมมี่นี้คือราชินีไทย (Tiye) ก็คือพระชายาของฟาโรห์อมุนโฮเตปที่ 2 เนื่องจากมีการเปรียบเทียบโครงสร้างของกะโหลกศีรษะของพระนางกับพ่อแม่ และเมื่อยิ่งมีการวิเคราะห์สารเคมี ในเส้นผมเปรียบเทียบกับเส้นผมที่เก็บไว้ในล็อคเกตซึ่งฝังไว้ในหลุมศพของตุตันคามัน (Tutankhamun) พระญาติของเธอด้วยแล้ว ยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่
มัมมี่ในสุสานแห่งอียิปต์โบราณไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับนักโบราณคดีเท่านั้น แต่ยังเป็นยอดสนใจของเหล่ามิจฉาชีพที่ต้องการจะค้นหาสมบัติจากมัมมี่และสุสานที่ฝังอีกด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือพวกเหล่านี้หากินกับผีทั้ง ๆ ที่สถานที่เหล่านั้นวังเวง ลึกลับ น่าสะพรึงกลัว แต่ความโลภซะอย่างสามารถทำอะไรต่อมิอะไรก็ได้ แม้แต่จะเลื่อยเศียรพระพุทธรูปแบบที่เราเคยเห็นมาแล้วหลายรายโดยไม่เกรงกลัวต่อบาปต่อกรรม
ที่มา http://school.obec.go.th/nkwy/tiplearn/old/pages/mummi.htm
ก่อนจะเริ่มเป็นหนุ่ม - เป็นสาว วัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างนะ มาดูกัน
ก่อนจะเริ่มเป็นหนุ่มการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โนมเพศในร่างกาย ในช่วงต่อระหว่างเด็กมาเป็นวัยรุ่น จะมีผลทำให้เกิดความชัดเจนของการแสดงออกทางร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง เสียงหรือลักษณะท่าทาง ในเด็กผู้ชายจะเริ่มเมื่ออายุ 12-13 ปีเป็นต้นไป ซึ่งยังมีความแตกต่างกันระหว่างเชื้อชาติด้วย
มีการศึกษาวิจัยในประเทศไทยพบว่าในอดีตเด็กผู้ชายจะเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม เมื่ออายุราว 14-15 ปี แต่ปัจจุบันตัวเลขได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอายุน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะมีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อม กรรมพันธุ์ และการมีโภชนาการที่ดีขึ้น เด็กที่มีโรคภัยไข้เจ็บบ่อยๆ หรือเด็กที่ขาดอาหารก็จะเริ่มแตกเนื้อหนุ่มช้ากว่าเพื่อนคนอื่น การผิดแผกแตกต่างจากเพื่อนในเรื่องรูปร่าง บางครั้งก็ทำให้เกิดปํญหาในด้านจิตใจได้ พ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูควรให้ความรู้ที่ถูกต้อง ให้กำลังใจ และให้ความมั่นใจแก่เด็กว่า สิ่งที่ตัวเขาไม่เหมือนเพื่อน อาจเป็นแค่ชั่วคราว หรือถ้าเป็นผลของกรรมพันธุ์ ก็ควรอธิบายว่าคนเราเกิดมาคงต้องวัดกันที่ความรู้ความสามารถ การทำงานให้ประสพความสำเร็จ การเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่ใช่ดูจากลักษณะภายนอก
สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับวัยหนุ่ม
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงต่อไปนี้เป็นตัวเลขคร่าวๆ ของสถิติในต่างประเทศเท่านั้น
ความสูง เห็นได้ชัดเจนเมื่ออายุ 12-13 ปี และจะลดน้อยลงเมื่ออายุ 17-18 ปี ถ้าอายุ 15 ปีแล้วเด็กสูงขึ้นไม่ชัดเจน ควรปรึกษาแพทย์
อวัยวะเพศซึ่งรวมทั้งลูกอัณฑะด้วย จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอายุ 12-13 ปี และเปลี่ยนแปลง น้อยลง เมื่ออายุ 15-17 ปี เด็กผู้ชายจะสามารถหลั่งน้ำอสุจิหรือฝันเปียกได้เมื่ออายุ 12-13 ปี
ขนตามร่างกายได้แก่ ขนบริเวณอวัยวะเพศเริ่มมีตอนอายุ 11-12 ปี ส่วนขนรักแร้เริ่มมีตอนอายุ 13-15 ปี
ต่อมเหงื่อที่รักแร้และขาหนีบ เริ่มมีมากขึ้นเมื่ออายุ 13-15 ปี ทำให้เริ่มมีกลิ่นบริเวณรักแร้
เสียงแตก เนื่องจากกล่องเสียงใหญ่ขึ้นเมื่ออายุ 13-14 ปี และเสียงห้าวขึ้นเมื่ออายุ 14-15 ปี ลูกกระเดือกจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นในช่วงนี้
ก่อนจะเริ่มเป็นสาว
การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศในร่างกาย ในช่วงต่อระหว่างเด็กมาเป็นวัยรุ่น จะมีผลทำให้เกิดความชัดเจนของการแสดงออกทางร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง เสียง หรือลักษณะท่าทาง ในเด็กผู้หญิงจะเริ่มเมื่ออายุประมาณ 10 - 11 ปี เป็นต้นไป ซึ่งยังมีความแตกต่างกันในเวลาเริ่มต้นของแต่ละประเทศ
มีการศึกษาวิจัยในประเทศไทยพบว่า ในอดีตเด็กผู้หญิงจะเริ่มแตกเนื้อสาว เมื่ออายุราว 13-14 ปี แต่ปัจจุบันตัวเลขได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอายุน้อยลง เรื่อยๆ ซึ่งอาจจะเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อม กรรมพันธุ์ เช่น เด็กผู้หญิงซึ่งมารดาของเธอเริ่มมีประจำเดือนช้า ก็จะเริ่มมีประจำเดือนช้าเหมือนมารดา นอกจากนี้พบว่า โภชนาการและสุขภาพกายก็มีส่วนสำคัญ เด็กที่มีโรคภัยไข้เจ็บบ่อยๆ หรือเด็กที่ขาดอาหาร ก็จะเริ่มแตกเนื้อสาวช้ากว่าเพื่อนคนอื่น การผิดแผกแตกต่างจากเพื่อนในเรื่องรูปร่าง บางครั้งก็ทำให้เกิดปัญหาในด้านจิตใจได้ พ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูควรให้ความรู้ที่ถูกต้อง ให้กำลังใจและให้ความมั่นใจแก่เด็กว่า สิ่งที่ตัวเขาไม่เหมือนเพื่อนอาจเป็นแค่ชั่วคราว หรือถ้าเป็นผลของกรรมพันธุ์ก็ควรอธิบายว่าคนเราเกิดมาคงต้องวัดกันที่ความรู้ความสามารถ การทำงานให้ประสพความสำเร็จ การเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่ใช่ดูแต่ลักษณะภายนอก
สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับวัยสาว
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงต่อไปนี้ เป็นตัวเลขคร่าวๆ ของสถิติในต่างประเทศเท่านั้น
ความสูงเห็นชัดเจนเมื่ออายุ 10-11 ปี และจะลดน้อยลงเมื่ออายุ 15-16 ปี ถ้าอายุ 15 ปีแล้วเด็กสูงขึ้นไม่ชัดเจน ควรปรึกษาแพทย์
การเปลี่ยนแปลงของหน้าอก เห็นได้ชัดเจนเมื่ออายุ 10-11 ปี และเมื่ออายุ 13-14 ปีขึ้นไปจะ เปลี่ยนแปลงไม่ค่อยมาก
ขนตามร่างกาย ได้แก่ ขนบริเวณอวัยวะเพศเริ่มมีตอน อายุ 10-11 ปี ส่วนขนรักแร้ เริ่มมีตออายุ 12-13 ปี
ต่อมเหงื่อที่รักแร้และขาหนีบ เริ่มมีมากขึ้นเมื่ออายุ 12-13 ปี ทำให้มีกลิ่นบริเวณรักแร้
ประจำเดือน เริ่มมีระหว่างอายุ 11-14 ปี ในระยะแรกจะไม่ค่อยสม่ำเสมอ และหลัง 16-17 ปีไปแล้วมักมีรอบเดือนสม่ำเสมอ
รู้อย่างนี้แล้ว เราก็ควรเตรียมตัวเตรียมใจรับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นะจ๊ะ
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก bangkokhealth.com
มีการศึกษาวิจัยในประเทศไทยพบว่าในอดีตเด็กผู้ชายจะเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม เมื่ออายุราว 14-15 ปี แต่ปัจจุบันตัวเลขได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอายุน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะมีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อม กรรมพันธุ์ และการมีโภชนาการที่ดีขึ้น เด็กที่มีโรคภัยไข้เจ็บบ่อยๆ หรือเด็กที่ขาดอาหารก็จะเริ่มแตกเนื้อหนุ่มช้ากว่าเพื่อนคนอื่น การผิดแผกแตกต่างจากเพื่อนในเรื่องรูปร่าง บางครั้งก็ทำให้เกิดปํญหาในด้านจิตใจได้ พ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูควรให้ความรู้ที่ถูกต้อง ให้กำลังใจ และให้ความมั่นใจแก่เด็กว่า สิ่งที่ตัวเขาไม่เหมือนเพื่อน อาจเป็นแค่ชั่วคราว หรือถ้าเป็นผลของกรรมพันธุ์ ก็ควรอธิบายว่าคนเราเกิดมาคงต้องวัดกันที่ความรู้ความสามารถ การทำงานให้ประสพความสำเร็จ การเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่ใช่ดูจากลักษณะภายนอก
สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับวัยหนุ่ม
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงต่อไปนี้เป็นตัวเลขคร่าวๆ ของสถิติในต่างประเทศเท่านั้น
ความสูง เห็นได้ชัดเจนเมื่ออายุ 12-13 ปี และจะลดน้อยลงเมื่ออายุ 17-18 ปี ถ้าอายุ 15 ปีแล้วเด็กสูงขึ้นไม่ชัดเจน ควรปรึกษาแพทย์
อวัยวะเพศซึ่งรวมทั้งลูกอัณฑะด้วย จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอายุ 12-13 ปี และเปลี่ยนแปลง น้อยลง เมื่ออายุ 15-17 ปี เด็กผู้ชายจะสามารถหลั่งน้ำอสุจิหรือฝันเปียกได้เมื่ออายุ 12-13 ปี
ขนตามร่างกายได้แก่ ขนบริเวณอวัยวะเพศเริ่มมีตอนอายุ 11-12 ปี ส่วนขนรักแร้เริ่มมีตอนอายุ 13-15 ปี
ต่อมเหงื่อที่รักแร้และขาหนีบ เริ่มมีมากขึ้นเมื่ออายุ 13-15 ปี ทำให้เริ่มมีกลิ่นบริเวณรักแร้
เสียงแตก เนื่องจากกล่องเสียงใหญ่ขึ้นเมื่ออายุ 13-14 ปี และเสียงห้าวขึ้นเมื่ออายุ 14-15 ปี ลูกกระเดือกจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นในช่วงนี้
ก่อนจะเริ่มเป็นสาว
การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศในร่างกาย ในช่วงต่อระหว่างเด็กมาเป็นวัยรุ่น จะมีผลทำให้เกิดความชัดเจนของการแสดงออกทางร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง เสียง หรือลักษณะท่าทาง ในเด็กผู้หญิงจะเริ่มเมื่ออายุประมาณ 10 - 11 ปี เป็นต้นไป ซึ่งยังมีความแตกต่างกันในเวลาเริ่มต้นของแต่ละประเทศ
มีการศึกษาวิจัยในประเทศไทยพบว่า ในอดีตเด็กผู้หญิงจะเริ่มแตกเนื้อสาว เมื่ออายุราว 13-14 ปี แต่ปัจจุบันตัวเลขได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอายุน้อยลง เรื่อยๆ ซึ่งอาจจะเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อม กรรมพันธุ์ เช่น เด็กผู้หญิงซึ่งมารดาของเธอเริ่มมีประจำเดือนช้า ก็จะเริ่มมีประจำเดือนช้าเหมือนมารดา นอกจากนี้พบว่า โภชนาการและสุขภาพกายก็มีส่วนสำคัญ เด็กที่มีโรคภัยไข้เจ็บบ่อยๆ หรือเด็กที่ขาดอาหาร ก็จะเริ่มแตกเนื้อสาวช้ากว่าเพื่อนคนอื่น การผิดแผกแตกต่างจากเพื่อนในเรื่องรูปร่าง บางครั้งก็ทำให้เกิดปัญหาในด้านจิตใจได้ พ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูควรให้ความรู้ที่ถูกต้อง ให้กำลังใจและให้ความมั่นใจแก่เด็กว่า สิ่งที่ตัวเขาไม่เหมือนเพื่อนอาจเป็นแค่ชั่วคราว หรือถ้าเป็นผลของกรรมพันธุ์ก็ควรอธิบายว่าคนเราเกิดมาคงต้องวัดกันที่ความรู้ความสามารถ การทำงานให้ประสพความสำเร็จ การเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่ใช่ดูแต่ลักษณะภายนอก
สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับวัยสาว
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงต่อไปนี้ เป็นตัวเลขคร่าวๆ ของสถิติในต่างประเทศเท่านั้น
ความสูงเห็นชัดเจนเมื่ออายุ 10-11 ปี และจะลดน้อยลงเมื่ออายุ 15-16 ปี ถ้าอายุ 15 ปีแล้วเด็กสูงขึ้นไม่ชัดเจน ควรปรึกษาแพทย์
การเปลี่ยนแปลงของหน้าอก เห็นได้ชัดเจนเมื่ออายุ 10-11 ปี และเมื่ออายุ 13-14 ปีขึ้นไปจะ เปลี่ยนแปลงไม่ค่อยมาก
ขนตามร่างกาย ได้แก่ ขนบริเวณอวัยวะเพศเริ่มมีตอน อายุ 10-11 ปี ส่วนขนรักแร้ เริ่มมีตออายุ 12-13 ปี
ต่อมเหงื่อที่รักแร้และขาหนีบ เริ่มมีมากขึ้นเมื่ออายุ 12-13 ปี ทำให้มีกลิ่นบริเวณรักแร้
ประจำเดือน เริ่มมีระหว่างอายุ 11-14 ปี ในระยะแรกจะไม่ค่อยสม่ำเสมอ และหลัง 16-17 ปีไปแล้วมักมีรอบเดือนสม่ำเสมอ
รู้อย่างนี้แล้ว เราก็ควรเตรียมตัวเตรียมใจรับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้นะจ๊ะ
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก bangkokhealth.com
ที่มาของ "รูบิค" ..ของเล่นเสริมสร้างไอคิว
ลูกบาศก์แบบต่างๆ (จากซ้าย) รูบิคล้างแค้น, ลูกบาศก์ของรูบิค, ลูกบาศก์ศาสตราจารย์, ลูกบาศก์พกพา
ลูกบาศก์ของรูบิค หรือที่เรียกกันว่า ลูกรูบิค เป็นของเล่นลับสมอง ประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ.1974 โดย เออร์โน รูบิค (Ernö Rubik) ซึ่งเป็นประติมากร และ ศาสตราจารย์ในสาขาสถาปนิก ชาวฮังการี โดยทั่วไปตัวลูกบาศก์นั้น ทำจากพลาสติก แบ่งเป็นชิ้นย่อยๆ 26 ชิ้น ประกอบกันเป็นรูปลูกบาศก์ ที่สามารถบิดหมุนไปรอบๆ ได้ ส่วนที่มองเห็นได้ของแต่ละด้าน จะประกอบด้วย 9 ส่วนย่อย ซึ่งมีสีทั้งหมด 6 สี ส่วนประกอบที่หมุนไปมาได้นี้ ทำให้การจัดเรียงสีของส่วนต่างๆ สลับกันได้หลายรูปแบบ จุดประสงค์ของเกม คือ การจัดเรียงให้แถบสีทั้ง 9 ที่อยู่ในด้านเดียวกันของลูกบาศก์ ซึ่งมีทั้งหมด 6 ด้านนั้น มีสีเดียวกัน
ลูกบาศก์ของรูบิค ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงต้นของทศวรรษ 1980 และ ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมสมัยนิยมของยุคนั้น ลูกบาศก์ของรูบิคนั้น ถือได้ว่าเป็นเป็นของเล่นที่ขายได้มากที่สุดในโลก โดยมีจำนวนยอดขายรวมทั้งของแท้และเลียนแบบ มากกว่า 300,000,000 ชิ้นทั่วโลก
ประวัติ
เออร์โน รูบิค (Ernö Rubik)
ลูกบาศก์ของรูบิค ถูกคิดค้นขึ้นในปี ค.ศ.1974 โดย เออร์โน รูบิค ประติมากร และศาสตราจารย์สถาปนิก ชาวฮังการี ผู้ซึ่งมีความสนใจในเรขาคณิต และรูปทรงสามมิติ เออร์โน ได้จดสิทธิบัตร HU170062 สิ่งประดิษฐ์ ในชื่อ "ลูกบาศก์มหัศจรรย์" (Magic Cube) ในปี ค.ศ.1975 ที่ประเทศฮังการี แต่ไม่ได้ทำการจดสิทธิบัตรนานาชาติ ได้มีการผลิดชุดแรกเพื่อสำรวจตลาด ในปลายปี ค.ศ.1977 โดยทำการจำหน่ายในร้านของเล่นในกรุงบูดาเปสต์
หลังจากนั้น ลูกบาศก์นี้ก็เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นทั่วทั้งประเทศฮังการี โดยการบอกเล่าปากต่อปาก วงการศึกษาในกลุ่มประเทศตะวันตก ก็เริ่มให้ความสนใจในลูกบาศก์นี้ ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1979 บริษัท ไอดีลทอยส์ (Ideal Toys) ได้ทำข้อตกลงเพื่อทำการจำหน่ายทั่วโลก และได้มีการเปิดตัวของลูกบาศก์นี้ในระดับนานาชาติ ที่งานแสดงของเล่นที่กรุงลอนดอน นครนิวยอร์ก เมืองนูร์นแบร์ก และ กรุงปารีส ในช่วงต้นปี ค.ศ.1980 บริษัท ไอดีลทอยส์ ได้เปลี่ยนชื่อของเล่นนี้เป็น "ลูกบาศก์ของรูบิค" (Rubik's Cube) และ ได้มีการส่งออกลูกบาศก์นี้ จากประเทศฮังการีชุดแรกเพื่อการจำหน่าย ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1980
ชื่อ "ลูกบาศก์ของรูบิค" เป็นเครื่องหมายการค้า ของบริษัท "Seven Towns Limited" ดังนั้น บริษัทไอดีลทอยส์ จึงลังเลที่จะผลิตของเล่นนี้ในขณะนั้น จึงปรากฏของลอกเลียนแบบออกจำหน่าย ในปี ค.ศ.1984 บริษัท ไอดีลทอยส์ ได้แพ้คดีการล่วงละเมิดสิทธิบัตรหมายเลข US3655201 ซึ่งฟ้องร้องโดย แลร์รี นิโคลส์ Larry Nichols ชาวญี่ปุ่นชื่อ อิชิกิ เทรุโตชิ (Terutoshi Ishigi) ได้ทำการจดสิทธิบัตรของเล่นที่มีลักษณะเกือบจะเหมือนกันกับลูกบาศก์ของรูบิค หมายเลข JP55‒8192 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเวลาระหว่างที่สิทธิบัตรที่รูบิคขอนั้น กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ นายอิชิกิ จึงได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นการค้นพบซ้ำกัน
ลูกบาศก์ของรูบิค หรือที่เรียกกันว่า ลูกรูบิค เป็นของเล่นลับสมอง ประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ.1974 โดย เออร์โน รูบิค (Ernö Rubik) ซึ่งเป็นประติมากร และ ศาสตราจารย์ในสาขาสถาปนิก ชาวฮังการี โดยทั่วไปตัวลูกบาศก์นั้น ทำจากพลาสติก แบ่งเป็นชิ้นย่อยๆ 26 ชิ้น ประกอบกันเป็นรูปลูกบาศก์ ที่สามารถบิดหมุนไปรอบๆ ได้ ส่วนที่มองเห็นได้ของแต่ละด้าน จะประกอบด้วย 9 ส่วนย่อย ซึ่งมีสีทั้งหมด 6 สี ส่วนประกอบที่หมุนไปมาได้นี้ ทำให้การจัดเรียงสีของส่วนต่างๆ สลับกันได้หลายรูปแบบ จุดประสงค์ของเกม คือ การจัดเรียงให้แถบสีทั้ง 9 ที่อยู่ในด้านเดียวกันของลูกบาศก์ ซึ่งมีทั้งหมด 6 ด้านนั้น มีสีเดียวกัน
ลูกบาศก์ของรูบิค ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงต้นของทศวรรษ 1980 และ ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมสมัยนิยมของยุคนั้น ลูกบาศก์ของรูบิคนั้น ถือได้ว่าเป็นเป็นของเล่นที่ขายได้มากที่สุดในโลก โดยมีจำนวนยอดขายรวมทั้งของแท้และเลียนแบบ มากกว่า 300,000,000 ชิ้นทั่วโลก
ประวัติ
เออร์โน รูบิค (Ernö Rubik)
ลูกบาศก์ของรูบิค ถูกคิดค้นขึ้นในปี ค.ศ.1974 โดย เออร์โน รูบิค ประติมากร และศาสตราจารย์สถาปนิก ชาวฮังการี ผู้ซึ่งมีความสนใจในเรขาคณิต และรูปทรงสามมิติ เออร์โน ได้จดสิทธิบัตร HU170062 สิ่งประดิษฐ์ ในชื่อ "ลูกบาศก์มหัศจรรย์" (Magic Cube) ในปี ค.ศ.1975 ที่ประเทศฮังการี แต่ไม่ได้ทำการจดสิทธิบัตรนานาชาติ ได้มีการผลิดชุดแรกเพื่อสำรวจตลาด ในปลายปี ค.ศ.1977 โดยทำการจำหน่ายในร้านของเล่นในกรุงบูดาเปสต์
หลังจากนั้น ลูกบาศก์นี้ก็เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นทั่วทั้งประเทศฮังการี โดยการบอกเล่าปากต่อปาก วงการศึกษาในกลุ่มประเทศตะวันตก ก็เริ่มให้ความสนใจในลูกบาศก์นี้ ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1979 บริษัท ไอดีลทอยส์ (Ideal Toys) ได้ทำข้อตกลงเพื่อทำการจำหน่ายทั่วโลก และได้มีการเปิดตัวของลูกบาศก์นี้ในระดับนานาชาติ ที่งานแสดงของเล่นที่กรุงลอนดอน นครนิวยอร์ก เมืองนูร์นแบร์ก และ กรุงปารีส ในช่วงต้นปี ค.ศ.1980 บริษัท ไอดีลทอยส์ ได้เปลี่ยนชื่อของเล่นนี้เป็น "ลูกบาศก์ของรูบิค" (Rubik's Cube) และ ได้มีการส่งออกลูกบาศก์นี้ จากประเทศฮังการีชุดแรกเพื่อการจำหน่าย ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1980
ชื่อ "ลูกบาศก์ของรูบิค" เป็นเครื่องหมายการค้า ของบริษัท "Seven Towns Limited" ดังนั้น บริษัทไอดีลทอยส์ จึงลังเลที่จะผลิตของเล่นนี้ในขณะนั้น จึงปรากฏของลอกเลียนแบบออกจำหน่าย ในปี ค.ศ.1984 บริษัท ไอดีลทอยส์ ได้แพ้คดีการล่วงละเมิดสิทธิบัตรหมายเลข US3655201 ซึ่งฟ้องร้องโดย แลร์รี นิโคลส์ Larry Nichols ชาวญี่ปุ่นชื่อ อิชิกิ เทรุโตชิ (Terutoshi Ishigi) ได้ทำการจดสิทธิบัตรของเล่นที่มีลักษณะเกือบจะเหมือนกันกับลูกบาศก์ของรูบิค หมายเลข JP55‒8192 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเวลาระหว่างที่สิทธิบัตรที่รูบิคขอนั้น กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ นายอิชิกิ จึงได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นการค้นพบซ้ำกัน
ศัพท์ & ประโยคที่จำเป็นเมื่อใช้โทรศัพท์
หลายคนที่ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงนัก อาจมีอาการตกใจที่ได้ยินสำเนียงภาษาอังกฤษทันทีที่รับสายโทรศัพท์ ...ให้ตั้งใจฟัง แต่ไม่ต้องไปตกใจ ฟังให้เป็นธรรมชาติ ไม่ยากอย่างที่คิดเพราะในการสนทนา มีประโยคพื้นฐานง่ายๆที่ใช้ติดต่อพูดคุยกับคนปลายสาย ดังนี้
เมื่อเริ่มต้นสนทนา
Hello, Good moning, Good afternoon, this is Malinee speaking. สวัสดีค่ะ ฉันมาลินีพูดอยู่
Could I speaking to.....please? ฉันขอสาย.....ค่ะ
I'd like to speak to.....please ฉันอยากจะขอพูดกับ.....ค่ะ
I'm trying to contact...... ฉันพยายามจะติดต่อ.....
ให้ข้อมูลแก่ผู้อยู่ปลายสาย
I'm calling from..... ฉันโทรมาจาก
I'm calling on behalf of..... ฉันโทรมาในนามของ.....
เมื่อรับสาย
....(ชื่อคนพูด)............speaking..... พูดอยู่Can I help you? .....มีอะไรให้ช่วยไหมคะ
เมื่อต้องการข้อมูลของปลายสาย
Who's calling please? ใครพูดอยู่คะ
Where are you calling from? คุณโทรจากที่ไหนคะ
May I ask who's calling? รบกวนถามว่าใครโทรมาคะ
การรอสาย
Hold the line please ช่วยถือสายรอก่อนค่ะ
Just a moment please รอซักครู่ค่ะ
หลังการรอสาย
Thank you for holding. ขอบคุณที่ถือสายรอ
The line's free now. I'll put you through. สายว่างแล้วฉันจะต่อสายให้ค่ะ
I'm concting you now. ฉันกำลังต่อสายให้อยู่ค่ะ
กรณีสายไม่ว่าง / ไม่อยู่ / ไม่มีบุคคลที่ต้องการติดต่อ
I'm afraid the line's engaged. Could you call back later? สายไม่ว่าง รบกวนโทรกลับมาใหม่ได้ไหมคะ
He can't take you call right now. เขาไม่สามารถรับสายได้ตอนนี้ค่ะ
I'm sorry. He's out of the office today / He isn't in at the moment.ต้องขอโทษด้วยแต่เขาไม่เข้าที่ทำงานวันนี้ / เขาไม่อยู่ตอนนี้
There's nobody here by that name. ที่นี่ไม่มีใครชื่อนั้นค่ะ
Sorry. I think you've dialed the wrong number / I'm afraid you've got the wrong number.ขอโทษนะคะ แต่คุณคงโทรผิด / คุณคงได้เบอร์ผิด
ต้องการฝากข้อความCan I leave a message? ฉันขอฝากข้อความด้วยค่ะ
Would you like to leave a message? คุณอยากฝากข้อความไว้ไหมคะ
Could you give him / her a message?รบกวนคุณช่วยฝากข้อความไว้ให้เขาด้วยค่ะ
Could you ask him / hre to call me back?คุณช่วยบอกเขาโทรกลับได้ไหมคะ
Could you tell him / her that I called?คุณช่วยบอกเขาด้วยว่าฉันโทรมา
Could you give me your name and number please?ขอชื่อและเบอร์ติดต่อหน่อยได้ไหมคะ
ที่มา she's smart
เมื่อเริ่มต้นสนทนา
Hello, Good moning, Good afternoon, this is Malinee speaking. สวัสดีค่ะ ฉันมาลินีพูดอยู่
Could I speaking to.....please? ฉันขอสาย.....ค่ะ
I'd like to speak to.....please ฉันอยากจะขอพูดกับ.....ค่ะ
I'm trying to contact...... ฉันพยายามจะติดต่อ.....
ให้ข้อมูลแก่ผู้อยู่ปลายสาย
I'm calling from..... ฉันโทรมาจาก
I'm calling on behalf of..... ฉันโทรมาในนามของ.....
เมื่อรับสาย
....(ชื่อคนพูด)............speaking..... พูดอยู่Can I help you? .....มีอะไรให้ช่วยไหมคะ
เมื่อต้องการข้อมูลของปลายสาย
Who's calling please? ใครพูดอยู่คะ
Where are you calling from? คุณโทรจากที่ไหนคะ
May I ask who's calling? รบกวนถามว่าใครโทรมาคะ
การรอสาย
Hold the line please ช่วยถือสายรอก่อนค่ะ
Just a moment please รอซักครู่ค่ะ
หลังการรอสาย
Thank you for holding. ขอบคุณที่ถือสายรอ
The line's free now. I'll put you through. สายว่างแล้วฉันจะต่อสายให้ค่ะ
I'm concting you now. ฉันกำลังต่อสายให้อยู่ค่ะ
กรณีสายไม่ว่าง / ไม่อยู่ / ไม่มีบุคคลที่ต้องการติดต่อ
I'm afraid the line's engaged. Could you call back later? สายไม่ว่าง รบกวนโทรกลับมาใหม่ได้ไหมคะ
He can't take you call right now. เขาไม่สามารถรับสายได้ตอนนี้ค่ะ
I'm sorry. He's out of the office today / He isn't in at the moment.ต้องขอโทษด้วยแต่เขาไม่เข้าที่ทำงานวันนี้ / เขาไม่อยู่ตอนนี้
There's nobody here by that name. ที่นี่ไม่มีใครชื่อนั้นค่ะ
Sorry. I think you've dialed the wrong number / I'm afraid you've got the wrong number.ขอโทษนะคะ แต่คุณคงโทรผิด / คุณคงได้เบอร์ผิด
ต้องการฝากข้อความCan I leave a message? ฉันขอฝากข้อความด้วยค่ะ
Would you like to leave a message? คุณอยากฝากข้อความไว้ไหมคะ
Could you give him / her a message?รบกวนคุณช่วยฝากข้อความไว้ให้เขาด้วยค่ะ
Could you ask him / hre to call me back?คุณช่วยบอกเขาโทรกลับได้ไหมคะ
Could you tell him / her that I called?คุณช่วยบอกเขาด้วยว่าฉันโทรมา
Could you give me your name and number please?ขอชื่อและเบอร์ติดต่อหน่อยได้ไหมคะ
ที่มา she's smart
"แมลง" ต่างจาก "แมง" .....อย่างไร ?
ย้อนอดีตกลับไปเมื่อครั้งที่เรายังเป็นเด็ก เชื่อว่าหลายคนคงจะเคยวิ่งไล่จับแมลงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แมลงปอ แมลงทับ ผีเสื้อ จิ้งหรีด ฯลฯ ด้วยความสนุกสนาน แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าที่เรียกว่า "แมลง" นำหน้าสัตว์เหล่านี้นั้นถูกต้องแล้ว อย่างเช่น แมลงปอหรือแมงปอ แมลงวันหรือแมงวัน แมลงสาบหรือแมงสาบ เป็นต้น จึงขอนำคำตอบที่เป็นหลักของการเรียกคำนำหน้าสัตว์เหล่านี้ที่หลายๆ คน ยังใช้สับสนกันอยู่มาบอกกล่าว เพื่อได้ทราบว่าที่ถูกต้องควรเรียกอย่างไรตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 คำว่า "แมลง" นั้น เป็นชื่อสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เมื่อร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่แบ่งออกเป็น 3 ส่วน เห็นได้ชัดเจน ได้แก่ ส่วนหัว ส่วนอกและส่วนท้อง มีขา 6 ขา เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังพวกเดียวที่มีปีก ซึ่งอาจจะมี 1 หรือ 2 คู่ แต่ก็อาจจะพบพวกที่ไม่มีปีกก็ได้ เป็นสัตว์ที่มีมากที่สุดในโลก เช่น แมลงทับ แมลงวัน แมลงวันทอง แมลงปอ แมลงดำ เป็นต้น แต่มีแมลงบางจำพวกที่ไม่ใช้คำว่า "แมลง" นำหน้าชื่อ เช่น จิ้งหรีด ผีเสื้อ ชีปะขาว ผึ้ง เป็นต้น
ส่วนคำว่า "แมง" นั้น เป็นชื่อสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเช่นเดียวกับ "แมลง" แต่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีร่างกายแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหัวกับอกรวมเป็นส่วนเดียวกันส่วนหนึ่ง และส่วนท้องอีกส่วนหนึ่ง มีขา 8 ขา ไม่มีหนวด ไม่มีปีก เช่น แมงมุม แมงดาทะเล แมงป่อง แมงกะแท้ แมงกะชอน เป็นต้น ซึ่งก็มักจะเรียกสับสนกับคำว่า "แมลง"
เป็นอย่างไรบ้าง ทีนี้เราคงจะแยกแยะได้ถูกแล้วว่าจะเรียกว่า "แมลง" หรือว่า "แมง"
ส่วนคำว่า "แมง" นั้น เป็นชื่อสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเช่นเดียวกับ "แมลง" แต่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีร่างกายแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหัวกับอกรวมเป็นส่วนเดียวกันส่วนหนึ่ง และส่วนท้องอีกส่วนหนึ่ง มีขา 8 ขา ไม่มีหนวด ไม่มีปีก เช่น แมงมุม แมงดาทะเล แมงป่อง แมงกะแท้ แมงกะชอน เป็นต้น ซึ่งก็มักจะเรียกสับสนกับคำว่า "แมลง"
เป็นอย่างไรบ้าง ทีนี้เราคงจะแยกแยะได้ถูกแล้วว่าจะเรียกว่า "แมลง" หรือว่า "แมง"
GAT PAT คืออะไร สอบอะไรบ้าง?? มาดูกัน GAT PAT 2553
GAT PAT ระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัย ปี 2553
เนื่องจากสำนักทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยถึงการจัดสอบความถนัดทั่วไป (General Aptitude Test หรือ GAT) และความถนัดเฉพาะด้าน/วิชาการ (Professional A Aptitude Test หรือ PAT) เพื่อใช้เป็นคะแนนในการนำไปสอบระบบกลางการรับนิสิต นักศึกษา หรือแอดมิชชั่นส์กลางว่า ตามที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีมติว่าการสอบแอดมิชชั่นส์ปี 2553 นั้นจะใช้สัดส่วนคะแนนดังนี้
องค์ประกอบในการยื่นคะแนนเข้ามาหาวิทยาลัย ปี 2553 ทปอ. จะใช้องค์ประกอบต่อไปนี้ในการยื่น คะแนนเข้ามหาวิทยาลัย 1) GPAX 6 ภาคเรียน 20 %2) O-NET (8 กลุ่มสาระ) 30 %3) GAT 10-50 %4) PAT 0-40 %รวม 100 %**หมายเหตุ 1. GPAX คือ ผลการเรียนเฉลี่ย สะสม 6 ภาคเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียน รู้ 2. GAT คือ General Aptitude Test ความถนัดทั่วไป 3. PAT คือ Professional Aptitude Test ความถนัดเฉพาะ วิชาชีพ
รายละเอียดเกี่ยว กับ GAT 1. เนื้อหา - การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์และการแก้โจทย์ ปัญหา(ทาง คณิตศาสตร์) 50% - การสื่อสารด้วยภาษา อังกฤษ 50% 2. ลักษณะข้อสอบ GAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย - คะแนนเต็ม 200 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง - ข้อสอบ เน้น Content Free และ Fair - เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก - มีการออกข้อสอบเก็บไว้เป็นคลังข้อ สอบ 3. สอบปีละหลายครั้ง - คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่สุด (จะสอบ ตั้งแต่ม. 4 ก็ได้)
รายละเอียดเกี่ยว กับ PAT 1. PAT มี 6 ชุด คือ PAT 1 วัดศักยภาพทางคณิตศาสตร์ เนื้อหา เช่น Algebra, Probability and Statistics, Conversion,Geometry, Trigonometry,Calculus ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills PAT 2 วัดศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ เนื้อหา ชีววิทยา, เคมี, ฟิสิกส์, Earth Sciences, environment, ICT ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Sciences Reading Ability,Science Problem Solving Ability ฯลฯ PAT 3 วัดศักยภาพทางวิศวกรรม ศาสตร์ เนื้อหา เช่น Engineering Mathematics, EngineeringSciences,Life Sciences, IT ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Engineering Aptitude i.e. Multidimensional Perceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability PAT 4 วัดศักยภาพทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ เนื้อหา เช่น Architectural Math and Science ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability ฯลฯ PAT 5 วัดศักยภาพทาง ครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์ เนื้อหา ความรู้ในเนื้อหาภาษา ไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม วิทยา มานุษยวิทยา สุขศึกษา ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ ครุ ศึกษา (Pedagogy), ทักษะการอ่าน (Reading Skills),ความรู้ทั่วไปเกี่ยว กับการศึกษาของประเทศไทย การแก้ปัญหาที่เกิดจากนัก เรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ฯลฯ PAT 6 วัดศักยภาพทางศิลปกรรมศาสตร์ เนื้อหา เช่น ทฤษฎีศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) ความรู้ทั่วไปทาง ศิลป์ ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ ความคิดสร้าง สรรค์ ฯลฯ "อย่างไรก็ตาม มีข้อเรียกร้องจากสมาคมฝรั่งเศสที่เสนอขอให้ ทปอ.จัดสอบเรื่องภาษาที่ 2 ด้วย ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และญี่ปุ่น เพื่อเป็นการวัดคุณภาพของเด็ก โดยจะขอให้เพิ่มเป็น PAT 7 และย่อยลงไปเป็น 7.1 , 7.2 ตามลำดับ แต่ ทปอ.เสนอว่าให้ทางสมาคมจัดสอบล่วงหน้าก่อนได้และให้กำหนดในเงื่อนไขแอดมิชชั่นว่าผู้ที่จะสอบในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับภาษาเหล่านี้จะต้องผ่านการสอนวัดความรู้ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีการมาเพิ่มเป็น PAT 7 สทศ.ก็ต้องมาทำการทบทวน PAT ทั้ง 6 ใหม่ ซึ่งก็จะยุ่งยากอีก"ศ.ดร.อุทุมพร กล่าวและว่า สำหรับข้อสอบ PAT นั้นได้เชิญอาจารย์ทีเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาเป็นผู้ออกข้อสอบ โดย สทศ.จะอธิบายความต้องการ วัตถุประสงค์การออกให้ทราบ และเมื่ออาจารย์ออกข้อสอบเสร็จแล้วก้จะนำเข้าคลังข้อสอบในรอบแรกก่อนนำมาเข้ากระบวนการกลั่นกรองเพื่อเข้าคลังข้อสอบของ สทศ. ใหม่อีกครั้ง2. ลักษณะข้อสอบ PAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย - คะแนนเต็มชุดละ 200 คะแนน เวลาสอบชุดละ 2 ชั่วโมง - เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก - มีการออกข้อสอบเก็บไว้ในคลังข้อ สอบ 3. การจัดสอบ จะจัดสอบเมื่อนักเรียนอยู่ชั้น ม.6 โดยจัดสอบปีละ 2 ครั้ง - คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่ สุด
ขณะนี้ ทปอ.ได้มอบหมายให้ สทศ.เป็นผู้จัดสอบ GAT และ PAT ซึ่งในส่วนของ GAT มีการทดลองรูปแบบการสอบแล้ว โดยจะใช้การสอบทั้งแบบปรนัยและอัตนัย ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 300 คะแนน โดยนักเรียนสามารถสอบได้ 2-3 ครั้ง และเลือกคะแนนสอบครั้งที่ดีที่สุดไปใช้ โดยคะแนนจะเก็บไว้ได้ 2 ปี แต่เด็กต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสอบเอง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มสอบได้ประมาณเดือนตุลาคม 2551 หรืออาจต้นปี 2552 เพื่อให้ใช้ทันแอดมิชชั่นปี 2553
“สทศ.ต้องเตรียมเรื่องการออกข้อสอบ โดยได้ขอความร่วมมือจากอาจารย์มหาวิทยาลัยมาช่วยออกข้อสอบให้ นอกจากนี้ สทศ. ยังจะจัดสอบ B-NET ซึ่งเป็นแบบทดสอบความรู้ 5 ภาคเรียนของ ม.ปลาย เพื่อให้มหาวิทยาลัยนำไปใช้ในการรับตรง ซึ่งการที่ สทศ. ต้องจัดสอบ B-NET เพราะไม่ต้องการให้เด็กวิ่งรอกสอบหลายที่” ผอ.สทศ. กล่าว.
ที่มา : เดลินิวส์ , สยามรัฐ
เนื่องจากสำนักทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยถึงการจัดสอบความถนัดทั่วไป (General Aptitude Test หรือ GAT) และความถนัดเฉพาะด้าน/วิชาการ (Professional A Aptitude Test หรือ PAT) เพื่อใช้เป็นคะแนนในการนำไปสอบระบบกลางการรับนิสิต นักศึกษา หรือแอดมิชชั่นส์กลางว่า ตามที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีมติว่าการสอบแอดมิชชั่นส์ปี 2553 นั้นจะใช้สัดส่วนคะแนนดังนี้
องค์ประกอบในการยื่นคะแนนเข้ามาหาวิทยาลัย ปี 2553 ทปอ. จะใช้องค์ประกอบต่อไปนี้ในการยื่น คะแนนเข้ามหาวิทยาลัย 1) GPAX 6 ภาคเรียน 20 %2) O-NET (8 กลุ่มสาระ) 30 %3) GAT 10-50 %4) PAT 0-40 %รวม 100 %**หมายเหตุ 1. GPAX คือ ผลการเรียนเฉลี่ย สะสม 6 ภาคเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียน รู้ 2. GAT คือ General Aptitude Test ความถนัดทั่วไป 3. PAT คือ Professional Aptitude Test ความถนัดเฉพาะ วิชาชีพ
รายละเอียดเกี่ยว กับ GAT 1. เนื้อหา - การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์และการแก้โจทย์ ปัญหา(ทาง คณิตศาสตร์) 50% - การสื่อสารด้วยภาษา อังกฤษ 50% 2. ลักษณะข้อสอบ GAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย - คะแนนเต็ม 200 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง - ข้อสอบ เน้น Content Free และ Fair - เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก - มีการออกข้อสอบเก็บไว้เป็นคลังข้อ สอบ 3. สอบปีละหลายครั้ง - คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่สุด (จะสอบ ตั้งแต่ม. 4 ก็ได้)
รายละเอียดเกี่ยว กับ PAT 1. PAT มี 6 ชุด คือ PAT 1 วัดศักยภาพทางคณิตศาสตร์ เนื้อหา เช่น Algebra, Probability and Statistics, Conversion,Geometry, Trigonometry,Calculus ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills PAT 2 วัดศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ เนื้อหา ชีววิทยา, เคมี, ฟิสิกส์, Earth Sciences, environment, ICT ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Sciences Reading Ability,Science Problem Solving Ability ฯลฯ PAT 3 วัดศักยภาพทางวิศวกรรม ศาสตร์ เนื้อหา เช่น Engineering Mathematics, EngineeringSciences,Life Sciences, IT ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Engineering Aptitude i.e. Multidimensional Perceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability PAT 4 วัดศักยภาพทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ เนื้อหา เช่น Architectural Math and Science ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability ฯลฯ PAT 5 วัดศักยภาพทาง ครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์ เนื้อหา ความรู้ในเนื้อหาภาษา ไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม วิทยา มานุษยวิทยา สุขศึกษา ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ ครุ ศึกษา (Pedagogy), ทักษะการอ่าน (Reading Skills),ความรู้ทั่วไปเกี่ยว กับการศึกษาของประเทศไทย การแก้ปัญหาที่เกิดจากนัก เรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ฯลฯ PAT 6 วัดศักยภาพทางศิลปกรรมศาสตร์ เนื้อหา เช่น ทฤษฎีศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) ความรู้ทั่วไปทาง ศิลป์ ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ ความคิดสร้าง สรรค์ ฯลฯ "อย่างไรก็ตาม มีข้อเรียกร้องจากสมาคมฝรั่งเศสที่เสนอขอให้ ทปอ.จัดสอบเรื่องภาษาที่ 2 ด้วย ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และญี่ปุ่น เพื่อเป็นการวัดคุณภาพของเด็ก โดยจะขอให้เพิ่มเป็น PAT 7 และย่อยลงไปเป็น 7.1 , 7.2 ตามลำดับ แต่ ทปอ.เสนอว่าให้ทางสมาคมจัดสอบล่วงหน้าก่อนได้และให้กำหนดในเงื่อนไขแอดมิชชั่นว่าผู้ที่จะสอบในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับภาษาเหล่านี้จะต้องผ่านการสอนวัดความรู้ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีการมาเพิ่มเป็น PAT 7 สทศ.ก็ต้องมาทำการทบทวน PAT ทั้ง 6 ใหม่ ซึ่งก็จะยุ่งยากอีก"ศ.ดร.อุทุมพร กล่าวและว่า สำหรับข้อสอบ PAT นั้นได้เชิญอาจารย์ทีเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาเป็นผู้ออกข้อสอบ โดย สทศ.จะอธิบายความต้องการ วัตถุประสงค์การออกให้ทราบ และเมื่ออาจารย์ออกข้อสอบเสร็จแล้วก้จะนำเข้าคลังข้อสอบในรอบแรกก่อนนำมาเข้ากระบวนการกลั่นกรองเพื่อเข้าคลังข้อสอบของ สทศ. ใหม่อีกครั้ง2. ลักษณะข้อสอบ PAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย - คะแนนเต็มชุดละ 200 คะแนน เวลาสอบชุดละ 2 ชั่วโมง - เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก - มีการออกข้อสอบเก็บไว้ในคลังข้อ สอบ 3. การจัดสอบ จะจัดสอบเมื่อนักเรียนอยู่ชั้น ม.6 โดยจัดสอบปีละ 2 ครั้ง - คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่ สุด
ขณะนี้ ทปอ.ได้มอบหมายให้ สทศ.เป็นผู้จัดสอบ GAT และ PAT ซึ่งในส่วนของ GAT มีการทดลองรูปแบบการสอบแล้ว โดยจะใช้การสอบทั้งแบบปรนัยและอัตนัย ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 300 คะแนน โดยนักเรียนสามารถสอบได้ 2-3 ครั้ง และเลือกคะแนนสอบครั้งที่ดีที่สุดไปใช้ โดยคะแนนจะเก็บไว้ได้ 2 ปี แต่เด็กต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสอบเอง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มสอบได้ประมาณเดือนตุลาคม 2551 หรืออาจต้นปี 2552 เพื่อให้ใช้ทันแอดมิชชั่นปี 2553
“สทศ.ต้องเตรียมเรื่องการออกข้อสอบ โดยได้ขอความร่วมมือจากอาจารย์มหาวิทยาลัยมาช่วยออกข้อสอบให้ นอกจากนี้ สทศ. ยังจะจัดสอบ B-NET ซึ่งเป็นแบบทดสอบความรู้ 5 ภาคเรียนของ ม.ปลาย เพื่อให้มหาวิทยาลัยนำไปใช้ในการรับตรง ซึ่งการที่ สทศ. ต้องจัดสอบ B-NET เพราะไม่ต้องการให้เด็กวิ่งรอกสอบหลายที่” ผอ.สทศ. กล่าว.
ที่มา : เดลินิวส์ , สยามรัฐ
เทคนิคการเรียนวิชาคณิต
เป้าหมายสูงสุดของการเรียนคณิตศาสตร์ก็คือ การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และการนำไปใช้เป็นพื้นฐานการศึกษาวิชาชีพต่างๆ หลายคนอาจสงสัยว่า ไม่เห็นต้องเรียนคณิตศาสตร์มากนัก บวก ลบ คูณหารจำนวนเราก็มีเครื่องคิดเลขใช้แล้ว นับว่าเป็นความเข้าใจผิด คณิตศาสตร์มิใช่เพียงต้องให้คิดคำนวณเกี่ยวกับตัวเลขเท่านั้น
ในโลกยุคปัจจุบันเมื่อเราเรียนคณิตศาสตร์เราควรได้คุณสมบัติต่อไปนี้จากการเรียน
1. ความสามารถในการสำรวจ
2. ความสามารถในการคาดเดา
3. ความสามารถในการให้เหตุผล
4. ความสามารถในการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาที่ไม่เคยพบได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสมบัตินี้เรียกว่าศักยภาพทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Power) ไม่ว่าเราจะมีอาชีพอะไรถ้าเรามีคุณสมบัตินี้ เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีศักยภาพทางคณิตศาสตร์
การเรียนรู้คณิตศาสตร์ ถ้าเราถูกสอนโดยวิธีครูบอกความรู้ หรือเทคนิคลัดๆ ให้ท่องจำ นำไปใช้โดยปราศจากความเข้าใจ ไม่รู้ที่มา ไม่รู้เหตุผล เราก็จะไม่ได้คุณสมบัติดังกล่าว อะไรคือหัวใจสำคัญของคณิตศาสตร์ เมื่อเราเรียนคณิตศาสตร์ไปจนถึงระดับมัธยมศึกษา เราควรได้สิ่งต่อไปนี้
1. มีความรู้ใน คำศัพท์ บทนิยาม หลักการ ทฤษฎีบท โครงสร้าง วิธีการมีความเข้าใจ ในความคิดรวบยอดจนสามารถอธิบายได้ หรือเขียนได้ หรือยกตัวอย่างได้ แปลงปัญหาจากรูป หนึ่งไปสู่รูปหนึ่งได้ ประมาณคำตอบได้ ระบุความสัมพันธ์ได้ ตรวจสอบผลที่เกิดได้
2. มีทักษะต่างๆ ดังนี้ ทักษะการแก้ปัญหา การนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริง การคิดอย่างมีเหตุผล การคิดคำนวณ การวัด การประมาณ การอ่านและแปลผลข้อมูล การนำเสนอข้อมูล การทำนาย และการใช้คอมพิวเตอร์
3. มีความสามารถในการวิเคราะห์และประยุกต์ใช้
เราจะมีวิธีเรียนคณิตศาสตร์อย่างไรให้ได้ดี เราต้องเริ่มฝึกฝนการเป็นผู้เรียนที่ดี
1. เวลาฟังครู หรือเวลาอ่าน ต้อง คิด ถาม จด ถ้าไม่เข้าใจควรจดคำถามไว้เพื่อคิดค้นคว้า หรือถามผู้รู้ต่อไป
2. หมั่นดูหนังสือหรือทำการบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ ควรหามุมอ่านหรือทำการบ้านที่เหมาะสมกับตนเอง
3. จัดเวลาสำหรับทบทวนสิ่งที่เรียนมา หรืออ่านล่วงหน้าสิ่งที่จะเรียนต่อไป และถ้าปฏิบัติตามที่กำหนดได้ควรให้ รางวัลตัวเอง เช่น ได้ขนม ได้เล่น ได้ฟังเพลง ดูทีวี ได้เล่นกีฬา เป็นต้น ถ้าทำไม่ได้ตาม กำหนดควรหาเวลาชดเชย
4. ทบทวนความรู้กับเพื่อน อย่าหวงวิชา แบ่งปันความรู้อธิบายให้กันและกัน อย่าช่วยเหลือเพื่อนในทางที่ผิด เช่น ทุจริตเวลาสอบ หรือให้ลอกงานโดยไม่เข้าใจ
5. ศึกษาด้วยตนเอง มิใช่ต้องเรียนจากครูเพียงอย่างเดียว การศึกษาด้วยตนเองจากตำราหลายๆ เล่ม ต้องทำ ความเข้าใจจดสาระสำคัญต่างๆ ลงในโน้ตย่อ จดสิ่งที่ไม่เข้าใจไว้ค้นคว้าต่อไป ถ้าต้องการเชี่ยวชาญ คณิตศาสตร์ ต้องหมั่นหาโจทย์แปลกใหม่มาทำมากๆ เช่นโจทย์แข่งขันเป็นต้น
เราต้องเรียนด้วยความเข้าใจเสียก่อน จากนั้นเราต้องหมั่นทบทวน ก่อนอื่นเราจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ การจำการลืมก่อน จากการศึกษาของนักจิตวิทยาเกี่ยวกับการจำการลืมของมนุษย์พบว่า คนเรามีอัตราการจำหรือลืมดังกราฟข้างล่างนี้
จากการทดลองของนักจิตวิทยา พบว่าเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งวัน เราจะจำเรื่องราวที่ตนอ่านไปได้ประมาณครึ่งหนึ่ง และลดลงไปอีกครึ่งหนึ่งของที่เหลือทุก 7 วัน จนในที่สุดจะนึกไม่ออกเลย การที่จะให้สิ่งที่เรียนมาไปอยู่ติดตัวเราได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราควรกลับไปทบทวนทันทีที่เราเรียนในแต่ละวัน จากนั้นเราทิ้งช่วงไปทบทวนรวบยอดในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ เพื่อมิให้เกิน 7 วัน จากนั้นเราทิ้งช่วงเป็น 2 สัปดาห์ควรทวนอีกครั้ง และเมื่อผ่านไป 1 เดือนควรทบเรารวบยอดทวนอีกครั้งตอนสอบกลางเทอม อย่าลืมว่าความรู้ใหม่ที่เรารับเข้าไปในแต่ละวันจะมีพอกพูนขึ้นไปเรื่อยๆ เราควรทำโน้ตย่อสาระสำคัญรวบรวมบทนิยาม สูตร กฎ และวิธีการ เราทบทวนจากโน้ตย่อจะช่วยให้เราเสียเวลาทบทวนน้อยลง
เหตุที่ว่า ทำไมเด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์
มีหลายสาเหตุ บางคนไม่ชอบเพราะไม่ถนัด มันยากเกินไป ไม่ชอบคิด พวกนี้ไม่ค่อยจะประสบผลสำเร็จในการทำแบบฝึกหัด มักทำไม่ได้หรือทำผิดบ่อยๆ จึงท้อแท้ เบื่อหน่าย และเกลียดในที่สุด บางคนไม่ชอบเพราะครูสอนไม่เข้าใจ สอนไม่สนุก ครูดุ จู้จี้ขี้บ่น ให้การบ้านเยอะ
ทางแก้อยู่ที่ครูจะต้องสำรวจว่าเด็กไม่ชอบคณิตศาสตร์เพราะอะไร ครูต้องปรับปรุงการสอนทำของยากให้เป็นของง่าย ทำของน่าเบื่อหน่ายให้น่าสนุก และควรปรับปรุงบุคลิกให้ไม่ดุจนเกินไป ไม่เจ้าระเบียบมากจนเกินเหตุ การบ้านก็มีแต่พอควร เลือกให้เด็กทำสิ่งที่สำคัญและจำเป็นก่อน
ถ้าเราเลือกครูไม่ได้ บังเอิญเราต้องเรียนกับครูที่สอนไม่รู้เรื่อง สอนไม่สนุก ดุ จู้จี้ขี้บ่น เราต้องหาตำราหลายๆ เล่มมาศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เมื่อไม่เข้าใจให้ปรึกษาผู้รู้ ถามกันอธิบายกันในหมู่เพื่อนๆ เราอดทนในที่สุดเราจะพบว่า เราเป็นคนเก่งคนหนึ่ง
เรื่องที่เป็นปัญหามากที่สุด คือ โจทย์ปัญหาทุกเรื่อง วิธีการเรียนเรื่องนี้ให้ได้ดีต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจโจทย์เสียก่อน มีคำศัพท์อะไรที่เราไม่รู้จักหรือลืม มีข้อความตอนใดที่เราไม่เข้าใจ เราต้องทำความเข้าใจก่อน โจทย์ถามอะไร และโจทย์กำหนดอะไรมาให้บ้าง อาจวาดภาพช่วย อาจสร้างตารางช่วย
ขั้นต่อไปวางแผนแก้ปัญหา และดำเนินการแก้ปัญหา และสุดท้ายเราต้องตรวจสอบคำตอบ ขั้นตอนที่กล่าวมานี้ แนะนำโดย จอร์จ โพลยา ได้รับความนิยมมากว่า 50 ปี
ที่สำคัญเราควรฝึกการแก้ปัญหาที่หลากหลายเพื่อสะสมประสบ การณ์ยุทธวิธีการแก้ปัญหา
ตัวอย่างปัญหาในระดับมัธยมศึกษาที่เด็กในระดับประถมศึกษาก็แก้ได้ “มีนกและหนูรวมกัน 15 ตัว นับขารวมกันได้ 40 ขา ถามว่ามีนกและหนูอย่างละกี่ตัว” เด็กระดับมัธยมศึกษาขึ้นไปมักจะใช้วิธีแก้สมการ เด็กระดับประถมศึกษาจะใช้วิธีวาดภาพ หัว 15 หัว แล้วเติมขาทีละ 2 ขา ได้ 30 ขา เหลือขาอีก 10 ขา นำไปเติมจะได้หนู 5 ตัว เด็กบางคนใช้วิธีลองผิดลองถูกเช่นสมมุติว่ามี นก 7 ตัว มีหนู 8 ตัว แล้วคำนวณขาว่าได้ 40 ขา หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ลดหรือเพิ่มจำนวนตัวสัตว์ไปเรื่อยๆ ก็จะพบคำตอบซึ่งอาจช้า บางคนอาจสร้างตารางแจงนับทุกรูปแบบเริ่มตั้งแต่ นก 1 ตัว หนู 14 ตัว จนถึงนก 14 ตัว หนู 1 ตัว แล้วตรวจสอบนับจำนวนขาจะได้คำตอบเช่นกัน
วิธีหนึ่งสำหรับคนที่มีเวลาน้อย เริ่มด้วยการทบทวนบทนิยาม สูตร กฎ วิธีการจากโน้ตย่อ จากนั้นทบทวนวิธีการแก้ปัญหาจากโจทย์ปัญหาโดยนึกว่าแผนการแก้ปัญหาสำหรับโจทย์ข้อนี้จะเป็นอย่างไรแล้วตรวจสอบจากเฉลยที่เราทำแบบฝึกหัดไว้ เราไม่ต้องลงมือแก้ปัญหาจริง เพียงแต่คิดวิธีการโดยเฉพาะข้อยากเราต้องคิดก่อน แต่ถ้าเรามีเวลามากเราก็อาจทบทวนโดยลงมือแก้ปัญหาอีกครั้งก็จะทำให้เราได้ฝึกฝนความแม่นยำ
คนที่เก่งคณิตศาสตร์มีประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง เพราะคณิตศาสตร์มิใช่เป็นเพียงราชินีของวิทยาศาสตร์ดังเช่นที่ เกาส์นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่กล่าวไว้ในอดีตเท่านั้น ปัจจุบันคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานของศาสตร์อีกหลายสาขาเช่น วิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ฯลฯ เราลองนึกภาพถ้าเรามีเกษตรกรที่เก่งคณิตศาสตร์ เราคงจะได้ปุ๋ยสูตรใหม่ๆ การกำจัดแมลงวิธีใหม่ หรือพืชพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพเหมาะกับบ้านเรา หรือการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ทำเกษตรกรรมอย่างคุ้มค่า ตลอดจนแปรรูปผลิตผลทางเกษตรให้เป็นสินค้าที่จะนำรายได้สู่ครอบครัวหรือประเทศ เรามีคนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้น้อยมาก
ประเทศชั้นนำของโลกให้ความสำคัญต่อคณิตศาสตร์อย่างยิ่ง บางประเทศพัฒนาเด็กจนสามารถมีเด็กเก่งคณิตศาสตร์ได้ถึงร้อยละ 40 เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน บางประเทศถ้าเห็นว่าคณิตศาสตร์ของประเทศตนแย่ลงเพียงเล็กน้อยก็จะทุ่มเทให้ความสำคัญเช่นสหรัฐอเมริกา แต่ประเทศเรามีคนเก่งคณิตศาสตร์ตามธรรมชาติปริมาณไม่เกินร้อยละ3 โดยที่ความเก่งนั้นเมื่อเทียบกับต่างประเทศเรายังอยู่ในอันดับท้ายๆ เราให้ความสำคัญในด้านนี้น้อยเกินไป ประเทศเรามีนักคณิตศาสตร์ประมาณ 30 คน มีคนเล่าว่าเวียดนามมีถึง 600 คน ปัจจุบันเราต้องจ้างศาตราจารย์ทางคณิตศาสตร์ชาวเวียดนามมาสอนในมหาวิทยาลัย
ในโลกยุคปัจจุบันเมื่อเราเรียนคณิตศาสตร์เราควรได้คุณสมบัติต่อไปนี้จากการเรียน
1. ความสามารถในการสำรวจ
2. ความสามารถในการคาดเดา
3. ความสามารถในการให้เหตุผล
4. ความสามารถในการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาที่ไม่เคยพบได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสมบัตินี้เรียกว่าศักยภาพทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Power) ไม่ว่าเราจะมีอาชีพอะไรถ้าเรามีคุณสมบัตินี้ เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีศักยภาพทางคณิตศาสตร์
การเรียนรู้คณิตศาสตร์ ถ้าเราถูกสอนโดยวิธีครูบอกความรู้ หรือเทคนิคลัดๆ ให้ท่องจำ นำไปใช้โดยปราศจากความเข้าใจ ไม่รู้ที่มา ไม่รู้เหตุผล เราก็จะไม่ได้คุณสมบัติดังกล่าว อะไรคือหัวใจสำคัญของคณิตศาสตร์ เมื่อเราเรียนคณิตศาสตร์ไปจนถึงระดับมัธยมศึกษา เราควรได้สิ่งต่อไปนี้
1. มีความรู้ใน คำศัพท์ บทนิยาม หลักการ ทฤษฎีบท โครงสร้าง วิธีการมีความเข้าใจ ในความคิดรวบยอดจนสามารถอธิบายได้ หรือเขียนได้ หรือยกตัวอย่างได้ แปลงปัญหาจากรูป หนึ่งไปสู่รูปหนึ่งได้ ประมาณคำตอบได้ ระบุความสัมพันธ์ได้ ตรวจสอบผลที่เกิดได้
2. มีทักษะต่างๆ ดังนี้ ทักษะการแก้ปัญหา การนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริง การคิดอย่างมีเหตุผล การคิดคำนวณ การวัด การประมาณ การอ่านและแปลผลข้อมูล การนำเสนอข้อมูล การทำนาย และการใช้คอมพิวเตอร์
3. มีความสามารถในการวิเคราะห์และประยุกต์ใช้
เราจะมีวิธีเรียนคณิตศาสตร์อย่างไรให้ได้ดี เราต้องเริ่มฝึกฝนการเป็นผู้เรียนที่ดี
1. เวลาฟังครู หรือเวลาอ่าน ต้อง คิด ถาม จด ถ้าไม่เข้าใจควรจดคำถามไว้เพื่อคิดค้นคว้า หรือถามผู้รู้ต่อไป
2. หมั่นดูหนังสือหรือทำการบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ ควรหามุมอ่านหรือทำการบ้านที่เหมาะสมกับตนเอง
3. จัดเวลาสำหรับทบทวนสิ่งที่เรียนมา หรืออ่านล่วงหน้าสิ่งที่จะเรียนต่อไป และถ้าปฏิบัติตามที่กำหนดได้ควรให้ รางวัลตัวเอง เช่น ได้ขนม ได้เล่น ได้ฟังเพลง ดูทีวี ได้เล่นกีฬา เป็นต้น ถ้าทำไม่ได้ตาม กำหนดควรหาเวลาชดเชย
4. ทบทวนความรู้กับเพื่อน อย่าหวงวิชา แบ่งปันความรู้อธิบายให้กันและกัน อย่าช่วยเหลือเพื่อนในทางที่ผิด เช่น ทุจริตเวลาสอบ หรือให้ลอกงานโดยไม่เข้าใจ
5. ศึกษาด้วยตนเอง มิใช่ต้องเรียนจากครูเพียงอย่างเดียว การศึกษาด้วยตนเองจากตำราหลายๆ เล่ม ต้องทำ ความเข้าใจจดสาระสำคัญต่างๆ ลงในโน้ตย่อ จดสิ่งที่ไม่เข้าใจไว้ค้นคว้าต่อไป ถ้าต้องการเชี่ยวชาญ คณิตศาสตร์ ต้องหมั่นหาโจทย์แปลกใหม่มาทำมากๆ เช่นโจทย์แข่งขันเป็นต้น
เราต้องเรียนด้วยความเข้าใจเสียก่อน จากนั้นเราต้องหมั่นทบทวน ก่อนอื่นเราจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ การจำการลืมก่อน จากการศึกษาของนักจิตวิทยาเกี่ยวกับการจำการลืมของมนุษย์พบว่า คนเรามีอัตราการจำหรือลืมดังกราฟข้างล่างนี้
จากการทดลองของนักจิตวิทยา พบว่าเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งวัน เราจะจำเรื่องราวที่ตนอ่านไปได้ประมาณครึ่งหนึ่ง และลดลงไปอีกครึ่งหนึ่งของที่เหลือทุก 7 วัน จนในที่สุดจะนึกไม่ออกเลย การที่จะให้สิ่งที่เรียนมาไปอยู่ติดตัวเราได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราควรกลับไปทบทวนทันทีที่เราเรียนในแต่ละวัน จากนั้นเราทิ้งช่วงไปทบทวนรวบยอดในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ เพื่อมิให้เกิน 7 วัน จากนั้นเราทิ้งช่วงเป็น 2 สัปดาห์ควรทวนอีกครั้ง และเมื่อผ่านไป 1 เดือนควรทบเรารวบยอดทวนอีกครั้งตอนสอบกลางเทอม อย่าลืมว่าความรู้ใหม่ที่เรารับเข้าไปในแต่ละวันจะมีพอกพูนขึ้นไปเรื่อยๆ เราควรทำโน้ตย่อสาระสำคัญรวบรวมบทนิยาม สูตร กฎ และวิธีการ เราทบทวนจากโน้ตย่อจะช่วยให้เราเสียเวลาทบทวนน้อยลง
เหตุที่ว่า ทำไมเด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์
มีหลายสาเหตุ บางคนไม่ชอบเพราะไม่ถนัด มันยากเกินไป ไม่ชอบคิด พวกนี้ไม่ค่อยจะประสบผลสำเร็จในการทำแบบฝึกหัด มักทำไม่ได้หรือทำผิดบ่อยๆ จึงท้อแท้ เบื่อหน่าย และเกลียดในที่สุด บางคนไม่ชอบเพราะครูสอนไม่เข้าใจ สอนไม่สนุก ครูดุ จู้จี้ขี้บ่น ให้การบ้านเยอะ
ทางแก้อยู่ที่ครูจะต้องสำรวจว่าเด็กไม่ชอบคณิตศาสตร์เพราะอะไร ครูต้องปรับปรุงการสอนทำของยากให้เป็นของง่าย ทำของน่าเบื่อหน่ายให้น่าสนุก และควรปรับปรุงบุคลิกให้ไม่ดุจนเกินไป ไม่เจ้าระเบียบมากจนเกินเหตุ การบ้านก็มีแต่พอควร เลือกให้เด็กทำสิ่งที่สำคัญและจำเป็นก่อน
ถ้าเราเลือกครูไม่ได้ บังเอิญเราต้องเรียนกับครูที่สอนไม่รู้เรื่อง สอนไม่สนุก ดุ จู้จี้ขี้บ่น เราต้องหาตำราหลายๆ เล่มมาศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เมื่อไม่เข้าใจให้ปรึกษาผู้รู้ ถามกันอธิบายกันในหมู่เพื่อนๆ เราอดทนในที่สุดเราจะพบว่า เราเป็นคนเก่งคนหนึ่ง
เรื่องที่เป็นปัญหามากที่สุด คือ โจทย์ปัญหาทุกเรื่อง วิธีการเรียนเรื่องนี้ให้ได้ดีต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจโจทย์เสียก่อน มีคำศัพท์อะไรที่เราไม่รู้จักหรือลืม มีข้อความตอนใดที่เราไม่เข้าใจ เราต้องทำความเข้าใจก่อน โจทย์ถามอะไร และโจทย์กำหนดอะไรมาให้บ้าง อาจวาดภาพช่วย อาจสร้างตารางช่วย
ขั้นต่อไปวางแผนแก้ปัญหา และดำเนินการแก้ปัญหา และสุดท้ายเราต้องตรวจสอบคำตอบ ขั้นตอนที่กล่าวมานี้ แนะนำโดย จอร์จ โพลยา ได้รับความนิยมมากว่า 50 ปี
ที่สำคัญเราควรฝึกการแก้ปัญหาที่หลากหลายเพื่อสะสมประสบ การณ์ยุทธวิธีการแก้ปัญหา
ตัวอย่างปัญหาในระดับมัธยมศึกษาที่เด็กในระดับประถมศึกษาก็แก้ได้ “มีนกและหนูรวมกัน 15 ตัว นับขารวมกันได้ 40 ขา ถามว่ามีนกและหนูอย่างละกี่ตัว” เด็กระดับมัธยมศึกษาขึ้นไปมักจะใช้วิธีแก้สมการ เด็กระดับประถมศึกษาจะใช้วิธีวาดภาพ หัว 15 หัว แล้วเติมขาทีละ 2 ขา ได้ 30 ขา เหลือขาอีก 10 ขา นำไปเติมจะได้หนู 5 ตัว เด็กบางคนใช้วิธีลองผิดลองถูกเช่นสมมุติว่ามี นก 7 ตัว มีหนู 8 ตัว แล้วคำนวณขาว่าได้ 40 ขา หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ลดหรือเพิ่มจำนวนตัวสัตว์ไปเรื่อยๆ ก็จะพบคำตอบซึ่งอาจช้า บางคนอาจสร้างตารางแจงนับทุกรูปแบบเริ่มตั้งแต่ นก 1 ตัว หนู 14 ตัว จนถึงนก 14 ตัว หนู 1 ตัว แล้วตรวจสอบนับจำนวนขาจะได้คำตอบเช่นกัน
วิธีหนึ่งสำหรับคนที่มีเวลาน้อย เริ่มด้วยการทบทวนบทนิยาม สูตร กฎ วิธีการจากโน้ตย่อ จากนั้นทบทวนวิธีการแก้ปัญหาจากโจทย์ปัญหาโดยนึกว่าแผนการแก้ปัญหาสำหรับโจทย์ข้อนี้จะเป็นอย่างไรแล้วตรวจสอบจากเฉลยที่เราทำแบบฝึกหัดไว้ เราไม่ต้องลงมือแก้ปัญหาจริง เพียงแต่คิดวิธีการโดยเฉพาะข้อยากเราต้องคิดก่อน แต่ถ้าเรามีเวลามากเราก็อาจทบทวนโดยลงมือแก้ปัญหาอีกครั้งก็จะทำให้เราได้ฝึกฝนความแม่นยำ
คนที่เก่งคณิตศาสตร์มีประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง เพราะคณิตศาสตร์มิใช่เป็นเพียงราชินีของวิทยาศาสตร์ดังเช่นที่ เกาส์นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่กล่าวไว้ในอดีตเท่านั้น ปัจจุบันคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานของศาสตร์อีกหลายสาขาเช่น วิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ฯลฯ เราลองนึกภาพถ้าเรามีเกษตรกรที่เก่งคณิตศาสตร์ เราคงจะได้ปุ๋ยสูตรใหม่ๆ การกำจัดแมลงวิธีใหม่ หรือพืชพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพเหมาะกับบ้านเรา หรือการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ทำเกษตรกรรมอย่างคุ้มค่า ตลอดจนแปรรูปผลิตผลทางเกษตรให้เป็นสินค้าที่จะนำรายได้สู่ครอบครัวหรือประเทศ เรามีคนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้น้อยมาก
ประเทศชั้นนำของโลกให้ความสำคัญต่อคณิตศาสตร์อย่างยิ่ง บางประเทศพัฒนาเด็กจนสามารถมีเด็กเก่งคณิตศาสตร์ได้ถึงร้อยละ 40 เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน บางประเทศถ้าเห็นว่าคณิตศาสตร์ของประเทศตนแย่ลงเพียงเล็กน้อยก็จะทุ่มเทให้ความสำคัญเช่นสหรัฐอเมริกา แต่ประเทศเรามีคนเก่งคณิตศาสตร์ตามธรรมชาติปริมาณไม่เกินร้อยละ3 โดยที่ความเก่งนั้นเมื่อเทียบกับต่างประเทศเรายังอยู่ในอันดับท้ายๆ เราให้ความสำคัญในด้านนี้น้อยเกินไป ประเทศเรามีนักคณิตศาสตร์ประมาณ 30 คน มีคนเล่าว่าเวียดนามมีถึง 600 คน ปัจจุบันเราต้องจ้างศาตราจารย์ทางคณิตศาสตร์ชาวเวียดนามมาสอนในมหาวิทยาลัย
วันปิยะ
วันปิยะมหาราช (23 ตุลาคม) -->
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 เป็นโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี)เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ พระราชกรณียกิจ
เลิกทาส
ด้านการปกครอง
การสาธารณูปโภค
การศึกษา
การปกป้องประเทศ
การเสด็จประพาส
เลิกทาส
โปรดเกล้าฯให้ประกาศเลิกทาสในเมืองไทย เลิกทาสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติทรงมีพระทัยแน่วแน่ว่าจะต้องเลิกทาสให้สำเร็จให้จงได้ แต่การที่พระองค์จะทรงทำการเลิกทาสถือว่าเป็นเรื่องยากลำบากด้วยทาสนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งเจ้านายที่เป็นใหญ่ในสมัยนั้นมักมีข้ารับใช้เมื่อไม่มีทาสบุคคลเหล่านี้อาจจะไม่พอใจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเหมือนกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตราพระราชบัญญัติทาส เรียกว่า พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124 ซึ่งเป็น พระราชบัญญัติที่ตราขึ้นเพื่อกำหนดเรื่องทาสในเรือนเบี้ยให้เป็นไปอย่างเด็ดขาด โดยกำหนดให้เด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นทาส ไม่จำเป็นต้องเป็นทาสอีกต่อไป กฎหมายโบราณแบ่งทาสออกเป็น 7 ชนิด 1. ทาสสินไถ่ 2. ทาสในเรือนเบี้ย 3. ทาสได้มาแต่บิดามารดา 4. ทาสท่านให้ 5. ทาสช่วยมาแต่ทัณฑ์โทษ 6. ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย 7. ทาสเชลยศึก ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน และได้ใช้เวลาเพียง 30 ปีเศษ ทาสในเมืองไทยก็หมดไปโดยมิเกิดการนองเลือด เหมือนกับประเทศอื่น ๆ เลย
ด้านการปกครอง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ แยกหน่วยราชการออกเป็นกรมกองต่าง ๆ มีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะไม่ก้าวก่ายกัน ได้แก่ 1. กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและเมืองลาวซึ่งเป็นประเทศราช 2. กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองปักษ์ใต้ ฝ่ายตะวันออกและตะวันตก และเมืองมลายู 3. กระทรวงวัง มีหน้าที่ดูแลรักษาการต่าง ๆ ในพระบรมมหาราชวัง 4. กระทรวงการคลัง มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการเก็บภาษีรายได้จากประชาชน 5. กระทรวงเกษตราธิการ มีหน้าที่ในการดูแลควบคุมการเพาะปลูก ค้าขาย ป่าไม้ 6. กระทรวงนครบาล มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในพระนคร 7. กระทรวงธรรมการ มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์ และการศึกษา 8. กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับคดีความที่ต้องตัดสินต่าง ๆ 9. กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่ดูแลตรวจตราการก่อสร้าง การทำถนน ขุดลอกคูคลอง และงานที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง 10. กระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่ดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ
การสาธารณูปโภค - การประปา ทรงให้กักเก็บน้ำจากแม่น้ำเชียงรากน้อย จ.ปทุมธานี และขุดคลองเพื่อส่งน้ำเข้ามายังสามเสน พร้อมทั้งฝังท่อเอกติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการทำน้ำประปาขึ้นในเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2452 - การคมนาคม วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปขุดดินก่อพระฤกษ์เพื่อประเดิมการสร้างทางรถไฟไปนครราชสีมา แต่ทรงเปิดทางรถไฟกรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยาก่อน จึงนับว่าเส้นทางรถไฟสายนี้เป็นทางรถไฟแห่งแรกของไทย - การสาธารณสุข เนื่องจากการรักษาแบบยากลางบ้านนี้ล้าสมัยไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงที จึงโปรดเกล้าฯให้สร้างโรงพยาบาล ณ บริเวณริมคลองบางกอกน้อย และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 200 ชั่ง โรงพยาบาลแห่งนี้เปิดทำการรักษาประชาชนเป็นครั้งแรกเมื่อ 26 เมษายน พ.ศ.2431 และใช้ชื่อโรงพยาบาลว่า โรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงพยาบาลศิริราช" - การไฟฟ้า พระองค์ทรงมอบหมายให้ กรมหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่งานในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับประชาชนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2433 การศึกษา
การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้ขยายการศึกษา ในปี พ.ศ.2414 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นภายในพระบรมมหาราชวังโดยมีท่านพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เป็นอาจารย์ใหญ่ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนอีกแห่งซึ่งสอนภาษาอังกฤษมีนาย ยอซ แปตเตอร์สัน เป็นอาจารย์ใหญ่ และโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างโรงเรียนหลวงอีกหลายแห่ง โรงเรียนหลวงแห่งแรกที่สร้างขึ้นในวัดคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม ในปี พ.ศ.2427 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร เขียนตำราเรียนขึ้นมา เรียกว่า แบบเรียนหลวง 6 เล่ม คือ มูลบทบรรพกิจ วาห์นิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ พิศาลการันต์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าผู้หญิงก็สมควรที่จะได้รับความรู้เช่นเดียวกับผู้ชาย ในปี พ.ศ.2444 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนสตรีขึ้น โรงเรียนหลวงแห่งแรกที่ตั้งขึ้น คือ โรงเรียนบำรุงสตรีวิทยา การปกป้องประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้ปรีชาสามารถอย่างสุดพระกำลังในการรักษาประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤติการณ์ ถึงแม้ว่าจะต้องสูญเสียดินแดนบางส่วนไปก็ตาม ดินแดนที่ต้องเสียให้กับต่างชาติ ได้แก่ - พ.ศ.2431 เสียดินแดนในแคว้นสิบสอบจุไทย - พ.ศ.2436 เสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง - พ.ศ.2447 เสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง - พ.ศ.2449 เสียดินแดนที่เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภรณ
การเสด็จประพาส
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดการเสด็จประพาสเป็นอย่างมาก แต่มิได้ไปเพื่อการสำราญพระราชหฤทัยส่วนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเสด็จประพาสภายในประเทศทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนบ้าง ปลอมเป็นขุนนางบ้าง ทรงกระทำเช่นนี้เพื่อเสด็จดูแลทุกข์สุขของประชาชนในหัวเมืองต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2440 โดยมีหมายกำหนดการเดินทางออกจากประเทศไทยในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2441 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาสยุโรปเป็นเวลานาน 9 เดือน เพื่อเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป และในปี พ.ศ.2449 พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรปอีกเป็นครั้งที่ 2 การเสด็จประพาสครั้งนี้ นำความเจริญมาสู่บ้านเมืองอย่างมากมาย ในปี พ.ศ.2413 ทรงเสด็จประพาสประเทศเพื่อบ้านเป็นครั้งกรำ คือ ประเทศสิงคโปร์ ประเทศชวา 2 ครั้ง การเสด็จพระราชดำเนินประเทศเพื่อนบ้านนั้นด้วยทรงต้องการที่จะเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อบ้านในแถบอินโดจีน รวมถึงทรงต้องการเรียนรู้ระเบียบการปกครอง ในปี พ.ศ.2415 เสด็จเยือนประเทศอินเดีย และประเทศพม่า และได้รับการถวายพระบรมสารีริกธาตุและพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยาอินเดียเพื่อนำกลับมาปลูกในประเทศไทย ในปี พ.ศ.2449 พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรปอีกเป็นครั้งที่ 2 การเสด็จประพาสครั้งนี้นำความเจริญมาสู่บ้านเมืองมากมาย ทั้งการสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา รถไฟ รถราง การแพทย์ การศึกษา รวมถึงระเบียบแบบแผนการปกครองประเทศ สวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีชนมพรรษา 58 พรรษา ในบั้นปลายพระชนมชีพทรงพระประชวร เนื่องจากทรงพระชราภาพและเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 นับว่าประเทศไทยได้สูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงปล่อยทาสให้เป็นไท ทรงพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยประเทศจนเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติพระองค์ทรงอยู่ในราชสมบัติ 42 ปี ประชาชนชาวไทยต่างรักและอาลัยพระองค์มาก และพร้อมใจถวาย สมัญานามว่า "พระปิยมหาราช" ซึ่งมีความหมายว่า "พระราชาผู้ยิ่งใหญ่อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย" ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
พ.ศ.2411 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
พ.ศ.2412 ทรงโปรดเกล้าให้สร้าง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
พ.ศ.2413 เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา โปรดฯ ให้ยกเลิกการไว้ผมทรงมหาดไทย
พ.ศ.2415 ทรงปรับปรุงการทหารครั้งใหญ่ โปรดให้ใช้เสื้อราชปะแตน โปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงสอนภาษาอังกฤษแห่งแรกขึ้นในพระบรมหาราชวัง
พ.ศ.2416 ทรงออกผนวชตามโบราณราชประเพณี โปรดให้เลิกประเพณีหมอคลานในเวลาเข้าเฝ้า
พ.ศ.2417 โปรดให้สร้างสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ตั้งโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง และให้ใช้อัฐกระดาษแทนเหรียญทองแดง
พ.ศ.2424 เริ่มทดลองใช้โทรศัพท์ครั้งแรก เป็นสายระหว่างกรุงเทพฯ - สมุทรปราการสมโภชพระนครครบ 100 ปี มีการฉลอง 7 คืน 7 วัน
พ.ศ.2426 โปรดให้ตั้งกรมไปรษณีย์ เริ่มบริการไปรษณีย์ในพระนครตั้งกรมโทรเลข และเกิดสงครามปราบฮ่อครั้งที่ 2
พ.ศ.2427 โปรดฯให้ตั้งโรงเรียนราษฎร์ทั่วไปตามวัด โรงเรียนแห่งแรกคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม
พ.ศ.2429 โปรดฯ ให้เลิกตำแหน่งมหาอุปราช ทรงประกาศตั้งตำแหน่งมกุฏราชกุมารขึ้นแทน
พ.ศ.2431 เสียดินแดนแคว้นสิบสองจุไทให้แก่ฝรั่งเศส การทดลองปกครองส่วนกลางใหม่ เปิดโรงพยาบาลศิริราชโปรดฯให้เลิกรัตนโกสินทร์ศก โดยใช้พุทธศักราชแทน
พ.ศ.2434 ตั้งกระทรวงยุติธรรม ตั้งกรมรถไฟ เริ่มก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา
พ.ศ.2436 ทรงเปิดเดินรถไฟสายเอกชน ระหว่างกรุงเทพฯ-ปากน้ำ กำเนิดสภาอุนาโลมแดง (สภากาชาดไทย)
พ.ศ.2440 ทรงเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก
พ.ศ.2445 เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส
พ.ศ.2448 ตราพระราชบัญญัติยกเลิกการมีทาสโดยสิ้นเชิง
พ.ศ.2451 เปิดพระบรมรูปทรงม้า
พ.ศ.2453 เสด็จสวรรคต
พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราช
ในวันสำคัญนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิตไปยังพระบรมราชานุสรณ์ ที่พระลานพระราชวังดุสิต ถวายพวงมาลาแล้วทรงจุดธูปเทียน เครื่องราชสักการะทองทิศและเครื่องทองน้อย ทรงกราบถวายราชสักการะ และเสด็จพระราชดำเนินไปในพระราชพิธี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปปางประจำ พระชนมวารของพระบรมอัฐิและทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะพระบรมอัฐิ พระสงฆ์ 57 รูป เท่าจำนวนพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียน เครื่องทรงธรรม พระราชาคณะถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมกัณฑ์เทศน์ แล้วทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์ และพระราชาคณะที่ถวายพระธรรมเทศนา สดับปกรณ์พระบรมอัฐิ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินกลับ
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 เป็นโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี)เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ พระราชกรณียกิจ
เลิกทาส
ด้านการปกครอง
การสาธารณูปโภค
การศึกษา
การปกป้องประเทศ
การเสด็จประพาส
เลิกทาส
โปรดเกล้าฯให้ประกาศเลิกทาสในเมืองไทย เลิกทาสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติทรงมีพระทัยแน่วแน่ว่าจะต้องเลิกทาสให้สำเร็จให้จงได้ แต่การที่พระองค์จะทรงทำการเลิกทาสถือว่าเป็นเรื่องยากลำบากด้วยทาสนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งเจ้านายที่เป็นใหญ่ในสมัยนั้นมักมีข้ารับใช้เมื่อไม่มีทาสบุคคลเหล่านี้อาจจะไม่พอใจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเหมือนกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตราพระราชบัญญัติทาส เรียกว่า พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124 ซึ่งเป็น พระราชบัญญัติที่ตราขึ้นเพื่อกำหนดเรื่องทาสในเรือนเบี้ยให้เป็นไปอย่างเด็ดขาด โดยกำหนดให้เด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นทาส ไม่จำเป็นต้องเป็นทาสอีกต่อไป กฎหมายโบราณแบ่งทาสออกเป็น 7 ชนิด 1. ทาสสินไถ่ 2. ทาสในเรือนเบี้ย 3. ทาสได้มาแต่บิดามารดา 4. ทาสท่านให้ 5. ทาสช่วยมาแต่ทัณฑ์โทษ 6. ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย 7. ทาสเชลยศึก ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน และได้ใช้เวลาเพียง 30 ปีเศษ ทาสในเมืองไทยก็หมดไปโดยมิเกิดการนองเลือด เหมือนกับประเทศอื่น ๆ เลย
ด้านการปกครอง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ แยกหน่วยราชการออกเป็นกรมกองต่าง ๆ มีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะไม่ก้าวก่ายกัน ได้แก่ 1. กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและเมืองลาวซึ่งเป็นประเทศราช 2. กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองปักษ์ใต้ ฝ่ายตะวันออกและตะวันตก และเมืองมลายู 3. กระทรวงวัง มีหน้าที่ดูแลรักษาการต่าง ๆ ในพระบรมมหาราชวัง 4. กระทรวงการคลัง มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการเก็บภาษีรายได้จากประชาชน 5. กระทรวงเกษตราธิการ มีหน้าที่ในการดูแลควบคุมการเพาะปลูก ค้าขาย ป่าไม้ 6. กระทรวงนครบาล มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในพระนคร 7. กระทรวงธรรมการ มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์ และการศึกษา 8. กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับคดีความที่ต้องตัดสินต่าง ๆ 9. กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่ดูแลตรวจตราการก่อสร้าง การทำถนน ขุดลอกคูคลอง และงานที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง 10. กระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่ดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ
การสาธารณูปโภค - การประปา ทรงให้กักเก็บน้ำจากแม่น้ำเชียงรากน้อย จ.ปทุมธานี และขุดคลองเพื่อส่งน้ำเข้ามายังสามเสน พร้อมทั้งฝังท่อเอกติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการทำน้ำประปาขึ้นในเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2452 - การคมนาคม วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปขุดดินก่อพระฤกษ์เพื่อประเดิมการสร้างทางรถไฟไปนครราชสีมา แต่ทรงเปิดทางรถไฟกรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยาก่อน จึงนับว่าเส้นทางรถไฟสายนี้เป็นทางรถไฟแห่งแรกของไทย - การสาธารณสุข เนื่องจากการรักษาแบบยากลางบ้านนี้ล้าสมัยไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงที จึงโปรดเกล้าฯให้สร้างโรงพยาบาล ณ บริเวณริมคลองบางกอกน้อย และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 200 ชั่ง โรงพยาบาลแห่งนี้เปิดทำการรักษาประชาชนเป็นครั้งแรกเมื่อ 26 เมษายน พ.ศ.2431 และใช้ชื่อโรงพยาบาลว่า โรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงพยาบาลศิริราช" - การไฟฟ้า พระองค์ทรงมอบหมายให้ กรมหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่งานในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับประชาชนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2433 การศึกษา
การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้ขยายการศึกษา ในปี พ.ศ.2414 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นภายในพระบรมมหาราชวังโดยมีท่านพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เป็นอาจารย์ใหญ่ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนอีกแห่งซึ่งสอนภาษาอังกฤษมีนาย ยอซ แปตเตอร์สัน เป็นอาจารย์ใหญ่ และโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างโรงเรียนหลวงอีกหลายแห่ง โรงเรียนหลวงแห่งแรกที่สร้างขึ้นในวัดคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม ในปี พ.ศ.2427 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร เขียนตำราเรียนขึ้นมา เรียกว่า แบบเรียนหลวง 6 เล่ม คือ มูลบทบรรพกิจ วาห์นิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ พิศาลการันต์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าผู้หญิงก็สมควรที่จะได้รับความรู้เช่นเดียวกับผู้ชาย ในปี พ.ศ.2444 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนสตรีขึ้น โรงเรียนหลวงแห่งแรกที่ตั้งขึ้น คือ โรงเรียนบำรุงสตรีวิทยา การปกป้องประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้ปรีชาสามารถอย่างสุดพระกำลังในการรักษาประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤติการณ์ ถึงแม้ว่าจะต้องสูญเสียดินแดนบางส่วนไปก็ตาม ดินแดนที่ต้องเสียให้กับต่างชาติ ได้แก่ - พ.ศ.2431 เสียดินแดนในแคว้นสิบสอบจุไทย - พ.ศ.2436 เสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง - พ.ศ.2447 เสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง - พ.ศ.2449 เสียดินแดนที่เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภรณ
การเสด็จประพาส
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดการเสด็จประพาสเป็นอย่างมาก แต่มิได้ไปเพื่อการสำราญพระราชหฤทัยส่วนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเสด็จประพาสภายในประเทศทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนบ้าง ปลอมเป็นขุนนางบ้าง ทรงกระทำเช่นนี้เพื่อเสด็จดูแลทุกข์สุขของประชาชนในหัวเมืองต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2440 โดยมีหมายกำหนดการเดินทางออกจากประเทศไทยในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2441 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาสยุโรปเป็นเวลานาน 9 เดือน เพื่อเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป และในปี พ.ศ.2449 พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรปอีกเป็นครั้งที่ 2 การเสด็จประพาสครั้งนี้ นำความเจริญมาสู่บ้านเมืองอย่างมากมาย ในปี พ.ศ.2413 ทรงเสด็จประพาสประเทศเพื่อบ้านเป็นครั้งกรำ คือ ประเทศสิงคโปร์ ประเทศชวา 2 ครั้ง การเสด็จพระราชดำเนินประเทศเพื่อนบ้านนั้นด้วยทรงต้องการที่จะเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อบ้านในแถบอินโดจีน รวมถึงทรงต้องการเรียนรู้ระเบียบการปกครอง ในปี พ.ศ.2415 เสด็จเยือนประเทศอินเดีย และประเทศพม่า และได้รับการถวายพระบรมสารีริกธาตุและพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยาอินเดียเพื่อนำกลับมาปลูกในประเทศไทย ในปี พ.ศ.2449 พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรปอีกเป็นครั้งที่ 2 การเสด็จประพาสครั้งนี้นำความเจริญมาสู่บ้านเมืองมากมาย ทั้งการสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา รถไฟ รถราง การแพทย์ การศึกษา รวมถึงระเบียบแบบแผนการปกครองประเทศ สวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีชนมพรรษา 58 พรรษา ในบั้นปลายพระชนมชีพทรงพระประชวร เนื่องจากทรงพระชราภาพและเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 นับว่าประเทศไทยได้สูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงปล่อยทาสให้เป็นไท ทรงพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยประเทศจนเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติพระองค์ทรงอยู่ในราชสมบัติ 42 ปี ประชาชนชาวไทยต่างรักและอาลัยพระองค์มาก และพร้อมใจถวาย สมัญานามว่า "พระปิยมหาราช" ซึ่งมีความหมายว่า "พระราชาผู้ยิ่งใหญ่อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย" ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
พ.ศ.2411 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
พ.ศ.2412 ทรงโปรดเกล้าให้สร้าง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
พ.ศ.2413 เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา โปรดฯ ให้ยกเลิกการไว้ผมทรงมหาดไทย
พ.ศ.2415 ทรงปรับปรุงการทหารครั้งใหญ่ โปรดให้ใช้เสื้อราชปะแตน โปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงสอนภาษาอังกฤษแห่งแรกขึ้นในพระบรมหาราชวัง
พ.ศ.2416 ทรงออกผนวชตามโบราณราชประเพณี โปรดให้เลิกประเพณีหมอคลานในเวลาเข้าเฝ้า
พ.ศ.2417 โปรดให้สร้างสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ตั้งโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง และให้ใช้อัฐกระดาษแทนเหรียญทองแดง
พ.ศ.2424 เริ่มทดลองใช้โทรศัพท์ครั้งแรก เป็นสายระหว่างกรุงเทพฯ - สมุทรปราการสมโภชพระนครครบ 100 ปี มีการฉลอง 7 คืน 7 วัน
พ.ศ.2426 โปรดให้ตั้งกรมไปรษณีย์ เริ่มบริการไปรษณีย์ในพระนครตั้งกรมโทรเลข และเกิดสงครามปราบฮ่อครั้งที่ 2
พ.ศ.2427 โปรดฯให้ตั้งโรงเรียนราษฎร์ทั่วไปตามวัด โรงเรียนแห่งแรกคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม
พ.ศ.2429 โปรดฯ ให้เลิกตำแหน่งมหาอุปราช ทรงประกาศตั้งตำแหน่งมกุฏราชกุมารขึ้นแทน
พ.ศ.2431 เสียดินแดนแคว้นสิบสองจุไทให้แก่ฝรั่งเศส การทดลองปกครองส่วนกลางใหม่ เปิดโรงพยาบาลศิริราชโปรดฯให้เลิกรัตนโกสินทร์ศก โดยใช้พุทธศักราชแทน
พ.ศ.2434 ตั้งกระทรวงยุติธรรม ตั้งกรมรถไฟ เริ่มก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา
พ.ศ.2436 ทรงเปิดเดินรถไฟสายเอกชน ระหว่างกรุงเทพฯ-ปากน้ำ กำเนิดสภาอุนาโลมแดง (สภากาชาดไทย)
พ.ศ.2440 ทรงเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก
พ.ศ.2445 เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส
พ.ศ.2448 ตราพระราชบัญญัติยกเลิกการมีทาสโดยสิ้นเชิง
พ.ศ.2451 เปิดพระบรมรูปทรงม้า
พ.ศ.2453 เสด็จสวรรคต
พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราช
ในวันสำคัญนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิตไปยังพระบรมราชานุสรณ์ ที่พระลานพระราชวังดุสิต ถวายพวงมาลาแล้วทรงจุดธูปเทียน เครื่องราชสักการะทองทิศและเครื่องทองน้อย ทรงกราบถวายราชสักการะ และเสด็จพระราชดำเนินไปในพระราชพิธี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปปางประจำ พระชนมวารของพระบรมอัฐิและทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะพระบรมอัฐิ พระสงฆ์ 57 รูป เท่าจำนวนพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียน เครื่องทรงธรรม พระราชาคณะถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 จบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมกัณฑ์เทศน์ แล้วทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์ และพระราชาคณะที่ถวายพระธรรมเทศนา สดับปกรณ์พระบรมอัฐิ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินกลับ
คอสเพลย์แฟชั่น

คอสเพลย์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
คอสเพลย์ (ญี่ปุ่น: コスプレ kosupure โคะซุปุเระ ?), (อังกฤษ: cosplay) โดยทั่วไปหมายถึงการแต่งกายเลียนแบบตัวละครจากในเกมหรือการ์ตูน โดยอาจมีการแสดงท่าทางหรือบุคลิกตามตัวละครนั้น ๆ ด้วย เดิมทีการแต่งกายในลักษณะนี้ยังไม่มีคำระบุเรียกอย่างชัดเจน คำว่าคอสเพลย์นี้ถูกใช้เป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น เพื่อใช้การเขียนคอลัมน์ในนิตยสาร My Anime เมื่อปี พ.ศ. 2525 โดยโนบุยุกิ ทากาฮาชิ ซึ่งมาจากการนำคำ 2 คำมาผสมกัน คือคำว่า Costume และ Play
ปัจจุบันนิยามของคอสเพลย์ในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงการแต่งกายเลียนแบบตัวละครการ์ตูนญี่ปุ่นเท่านั้น แต่กินความหมายรวมไปถึงตัวละครในการ์ตูน เกม และภาพยนตร์ ทั้งของญี่ปุ่นและของประเทศอื่น ๆ ด้วย และยังรวมไปถึงการแต่งกายเลียนแบบการแต่งกายของวงดนตรี J-Rock และ J-Pop ที่มีรูปแบบแตกต่างจากการแต่งกายแบบปกติอย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะมีการรวมกลุ่มกันเพื่อร้องเพลงหรือการเต้น Cover ตามศิลปินที่ชื่นชอบนั้นอีกด้วย และการแต่งกายแบบย้อนยุค อย่างเช่นสมัย Gothic เป็นต้น
สำหรับในประเทศไทยนั้น จุดเริ่มต้นของกิจกรรมการแต่งคอสเพลย์ส่วนหนึ่งจะมาจากผู้ที่ชื่นชอบ J-Rock ในสมัยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงปี 30 กลายๆ อีกส่วนหนึ่งคือผู้ที่ชื่นชอบการ์ตูนญี่ปุ่นและติดตามข้อมูลโดยตรงจากทางญี่ปุ่น ก็ได้มีการรวมกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อจัดงานขึ้นมาเมื่อประมาณ พ.ศ. 2541 หลังจากนั้นสำนักพิมพ์การ์ตูนญี่ปุ่นต่างๆ เองก็ได้เริ่มให้ความสนใจจัดกิจกรรมเพื่อตอบสนองความชื่นชอบในลักษณะของการประกวดคอสเพลย์ขึ้นมาบ้าง แต่จุดที่ทำให้คอสเพลย์เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในสังคมไทย เห็นจะเป็นกระแสของเกมออนไลน์ต่างๆ ที่เริ่มเข้ามาเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2545 โดยคอสเพลย์เป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักๆ ที่ผู้นำเข้าเกมจะจัดขึ้นมาเพื่อสร้างความคึกคักให้กับงานแสดงเกมของบริษัท โดยเฉพาะเกมที่มีชื่อเสียงมากในขณะนั้นอย่าง Ragnarok Online ซึ่งสื่อต่างๆ ก็ได้นำเอาเรื่องของคอสเพลย์ไปเผยแพร่ จึงมีผลทำให้บุคคลทั่วไปได้รู้จักมากยิ่งขึ้น จากที่แต่เดิมนั้นจะเป็นรู้จักเฉพาะในวงแคบๆ เท่านั้น นับเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่ง
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
คอสเพลย์ (ญี่ปุ่น: コスプレ kosupure โคะซุปุเระ ?), (อังกฤษ: cosplay) โดยทั่วไปหมายถึงการแต่งกายเลียนแบบตัวละครจากในเกมหรือการ์ตูน โดยอาจมีการแสดงท่าทางหรือบุคลิกตามตัวละครนั้น ๆ ด้วย เดิมทีการแต่งกายในลักษณะนี้ยังไม่มีคำระบุเรียกอย่างชัดเจน คำว่าคอสเพลย์นี้ถูกใช้เป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น เพื่อใช้การเขียนคอลัมน์ในนิตยสาร My Anime เมื่อปี พ.ศ. 2525 โดยโนบุยุกิ ทากาฮาชิ ซึ่งมาจากการนำคำ 2 คำมาผสมกัน คือคำว่า Costume และ Play
ปัจจุบันนิยามของคอสเพลย์ในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงการแต่งกายเลียนแบบตัวละครการ์ตูนญี่ปุ่นเท่านั้น แต่กินความหมายรวมไปถึงตัวละครในการ์ตูน เกม และภาพยนตร์ ทั้งของญี่ปุ่นและของประเทศอื่น ๆ ด้วย และยังรวมไปถึงการแต่งกายเลียนแบบการแต่งกายของวงดนตรี J-Rock และ J-Pop ที่มีรูปแบบแตกต่างจากการแต่งกายแบบปกติอย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะมีการรวมกลุ่มกันเพื่อร้องเพลงหรือการเต้น Cover ตามศิลปินที่ชื่นชอบนั้นอีกด้วย และการแต่งกายแบบย้อนยุค อย่างเช่นสมัย Gothic เป็นต้น
สำหรับในประเทศไทยนั้น จุดเริ่มต้นของกิจกรรมการแต่งคอสเพลย์ส่วนหนึ่งจะมาจากผู้ที่ชื่นชอบ J-Rock ในสมัยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงปี 30 กลายๆ อีกส่วนหนึ่งคือผู้ที่ชื่นชอบการ์ตูนญี่ปุ่นและติดตามข้อมูลโดยตรงจากทางญี่ปุ่น ก็ได้มีการรวมกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อจัดงานขึ้นมาเมื่อประมาณ พ.ศ. 2541 หลังจากนั้นสำนักพิมพ์การ์ตูนญี่ปุ่นต่างๆ เองก็ได้เริ่มให้ความสนใจจัดกิจกรรมเพื่อตอบสนองความชื่นชอบในลักษณะของการประกวดคอสเพลย์ขึ้นมาบ้าง แต่จุดที่ทำให้คอสเพลย์เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในสังคมไทย เห็นจะเป็นกระแสของเกมออนไลน์ต่างๆ ที่เริ่มเข้ามาเมื่อช่วงปี พ.ศ. 2545 โดยคอสเพลย์เป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักๆ ที่ผู้นำเข้าเกมจะจัดขึ้นมาเพื่อสร้างความคึกคักให้กับงานแสดงเกมของบริษัท โดยเฉพาะเกมที่มีชื่อเสียงมากในขณะนั้นอย่าง Ragnarok Online ซึ่งสื่อต่างๆ ก็ได้นำเอาเรื่องของคอสเพลย์ไปเผยแพร่ จึงมีผลทำให้บุคคลทั่วไปได้รู้จักมากยิ่งขึ้น จากที่แต่เดิมนั้นจะเป็นรู้จักเฉพาะในวงแคบๆ เท่านั้น นับเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่ง
แนะนำตัว
แม่น้อยกว่านี้ได้ไง
สตรีใด…….ไหนเล่า………..เท่าเธอนี้เป็นผู้ที่ …………..ลูกทุกคน………บ่นรู้จักเป็นผู้ที่ ……………มีพระคุณ………การุณนักเป็นผู้ที่ …………..สร้างความรัก…..สอนความดีเป็นผู้ที่……………คอยสั่งสอน…….เอาใจใส่คอยห่วงใย….……เราทุกคน………จนวันนี้เปรียบแสงทอง……สว่างล้ำ……….นำชีวีเธอคนนี้…………..คือ ” แม่ ”……..ของเราเอง
ประวัติความเป็นมาของวันแม่
ชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการขึ้น และผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มีวันแม่ในอเมริกา คือ แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย แต่กว่าเธอจะประสบความสำเร็จก็ครบ 2 ปีพอดีในปี ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) โดยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้ว ให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการจัดงานวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ.สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน แต่เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไปโดยปริยาย หลังจากผ่านพ้นวิกฤติสงครามไปแล้ว หลายหน่วยงานได้พยายามรื้อฟื้นให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง แต่กำหนดวันแม่ที่ประชาชนนิยม และเป็นที่รับรองของรัฐบาล คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 กำหนดงานวันแม่ในวันนี้ยังดำเนินต่อมาอีกหลายปี ก็ต้องมาหยุดชะงักลงอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ซึ่งก็คือกระทรวงวัฒนธรรมที่ถูกยุบไปนั่นเอง
ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย เห็นว่าควรมีการจัดงานวันแม่ต่อไป จึงได้รื้อฟื้นงานวันแม่ขึ้นมาอีก และได้กำหนดให้จัดงานวันแม่ คือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการ สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่า ควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที จึงได้กำหนดวันแม่ใหม ่โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมา
เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรัก อันบริสุทธิ์ของแม่ ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย...
นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ (Bilabial) ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรก ที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น
ภาษาไทย แม่
ภาษาจีน ม๊ะ หรือ ม่า
ภาษาฝรั่งเศส la mere (ลา แมร์)
ภาษาอังกฤษ mom , mam
ภาษาโซ่ ม๋เปะ
ภาษามุสลิม มะ
ภาษาไทใต้คง เม
เป็นต้น
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)